marinerthai

“MOTT” เรือสารพัดประโยชน์ ลำแรกฝีมือคนไทย

โดย มติชน 13 ธันวาคม 2548
โดย สุชาฎา ประพันธ์วงศ์

การทำงานกลางทะเล ทุกอย่างต้องพร้อม ทั้งคน ทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะการทำงานของพวกที่อยู่ประจำแท่นขุดเจาะปิโตรเลียมกลางทะเล หรือมหาสมุทร เพราะชีวิตที่นั่นแทบไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโชคชะตา

หลังจากตลอดระยะเวลาเริ่มต้นตั้งแต่ประเทศไทยผลิตปิโตรเลียม จะต้องพึ่งพาอาศัยเทคโนโลยีของต่างประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งการต่อเรือที่ใช้ในกิจการดังกล่าวนานหลายทศวรรษ

มาวันนี้ นับว่าคนไทย ประเทศไทย ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก ที่สามารถลงมือสร้างเรือ หรือต่อเรือ ที่เรียกว่า “เรือดันจูง” ได้สำเร็จเป็นลำแรก ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นฝีมือคนไทย

เรือดันจูงลำดังกล่าวมีชื่อว่า “เรือยูนิไวส์ชลบุรี” เป็นเรือดันจูงอเนกประสงค์ ประจำแท่นผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล หรือที่ชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “Multi-Purpose Offshore Terminal Tug” ชื่อย่อ “MOTT”

เรือ MOTT สร้างเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ และมีการทำพิธีปล่อยลงน้ำอย่างเป็นทางการไปเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เรือลำนี้พร้อมจะออกไปปฏิบัติการได้ในต้นปี 2549

พิธีปล่อยเรือ MOTT เริ่มขึ้นโดยมีการผูกโยงด้ายสายสิญจน์รอบลำเรือเพื่อทำพิธีไหว้แม่ย่านางประจำเรือ จากนั้นเป็นการ “ทุบขวดแชมเปญ” ที่หัวเรือ วิธีการคือ คนที่ได้คัดเลือกในพิธีจะโยนขวดแชมเปญให้ไปกระทบกับหัวเรือจนแตกกระจาย ซึ่งคนที่ได้รับการคัดเลือกให้โยนขวดแชมเปญในพิธีนี้ได้จะต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น

พิธีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเรือทุกลำเมื่อสร้างเสร็จแล้วจะต้องทำพิธีไหว้แม่ย่านาง พร้อมกับตั้งชื่อเรือด้วย

เรืออเนกประสงค์ หรือ MOTT จะเป็นเรือที่สร้างขึ้นมาเพื่อทำงานเฉพาะกิจ ประจำแท่นขุดเจาะปิโตรเลียมกลางทะเล ซึ่งปกติจะต้องมีเรือที่ทำงานประจำแท่นผลิตนี้ไม่ต่ำกว่า 3-4 ลำ เพื่อดำเนินงานต่างๆ ทั้งในกรณีฉุกเฉิน และสถานการณ์ปกติ

งานต่างๆ ที่เป็นหน้าที่ของเรืออเนกประสงค์ เช่น คอยอพยพผู้คนหากเกิดภาวะฉุกเฉิน หรือเกิดเพลิงไหม้บนเรือ เพื่อให้เรือดับเพลิงเข้าไปทำหน้าที่ได้ ทำหน้าที่เป็นเรือขนถ่ายสินค้า หรือช่วยในการเทียบเรือบรรทุกน้ำมัน หรือดำเนินการซ่อมบำรุงท่อส่งน้ำมันที่แท่นกักเก็บปิโตรเลียมกลางทะเล เคลื่อนย้ายแท่นขุดเจาะ และยังเป็นเรือสำรองเพื่อการช่วยเหลืออื่นๆ อีกด้วย

ก่อนหน้าจะมีการต่อเรือยูนิไวส์ชลบุรีลำนี้ เรือประเภท MOTT นั้น ประเทศไทยมีอยู่เพียง 1 ลำ คือ “เรือยูนิไวส์ระยอง” ซึ่งเป็นเรือที่ต่อขึ้นในประเทศสิงคโปร์ โดยคนสิงคโปร์ ปัจจุบันปฏิบัติงานให้กับบริษัท อัลลายแอนซ์รีไฟน์นิ่ง จำกัด (เออาร์ซี)

*ดังนั้น เมื่อการต่อเรือ “ยูนิไวส์ชลบุรี” ลำนี้สำเร็จ จึงนับเป็นเรือ MOTT ลำแรกที่ต่อโดยคนไทย และในประเทศไทย*

แบบ drawing ของเรือ Multi-Purpose Offshore Terminal Tug MOTT

*เกรียงเดช ปิยวัณโณ* ผู้จัดการฝ่ายพาณิชย์ บริษัท ยูนิไวส์ ออฟชอร์ จำกัด เล่าว่า เรือ MOTT ออกแบบโดยบริษัท ยูนิไวท์ ออฟชอร์ จำกัด สร้างขึ้นที่อู่ต่อเรือของบริษัท ยูนิไทยชิปยาร์ด แอนด์ เอนจิเนียริ่ง ซึ่งเป็นอู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุด มีบุคลากรและเครื่องมืออุปกรณ์ที่ครบครันที่สุดในประเทศไทย โดยบริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ว่าจ้างให้สร้าง

เนื่องจากบริษัทเชฟรอนฯมีอัตราการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสูงสุดในประเทศไทย ด้วยยอดผลิตเฉลี่ยต่อวัน ประกอบด้วย น้ำมันดิบ 90,000 บาร์เรล ก๊าซธรรมชาติ 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุต และก๊าซธรรมชาติเหลว 42,000 บาร์เรล จึงอยากให้มีเรือ MOTT ที่ต่อขึ้นมาด้วยฝีมือคนไทย

“เรือยูนิไวส์ชลบุรีลำนี้ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของทั้งผู้สร้างและผู้ใช้ เพราะนับว่าเป็นเรืออเนกประสงค์ที่มีความพิเศษ เพราะมีการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อรองรับการปฏิบัติงานกลางทะเลโดยเฉพาะ ใช้เวลาในการก่อสร้างนาน 14 เดือน สำหรับตัวเรือมีความยาว 45 เมตร กว้าง 13 เมตร มีขีดความสามารถในการดันจูงน้ำหนักได้มากถึง 65 ตัน”

เรือ MOTT ไม่เหมือนกับเรือทั่วไป ทั้งโครงสร้าง รูปร่าง หากเป็นเรือทั่วไปจะมีหางเสือเพื่อบังคับทิศทางเรือ แต่เรือ MOTT นี้ไม่ต้องมีหางเสือ เรือสามารถบังคับทิศทางเหมือนเรือทั่วไปได้ เป็นการใช้ระบบ ASD ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อนโดยใช้ใบจักรควบคุมทิศทางเพื่อความคล่องตัว และยังสามารถหมุนได้รอบทิศ 360 องศา ทั้งยังใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เกรียงเดชบอกอีกว่า การทำงานกลางทะเลลึกกับแท่นขุดเจาะน้ำมันนั้นต้องอาศัยเรือทำการช่วยเหลือในกิจกรรมต่างๆ ดังนั้น เรือ MOTT จะทำหน้าที่เป็น “เรือพี่เลี้ยง” เหมือนกับโรงงานเคลื่อนที่ก็ได้ เพราะไม่ว่าคลื่นลมในทะเลจะแรงแค่ไหน เรือดังกล่าวก็สามารถทำงานได้ เช่น หากเกิดพายุในทะเล เรือสามารถจะอพยพผู้คนได้ทันที

“หรือที่สำคัญคือ หากมีการรั่วไหลของน้ำมันกระจายออกไปทั่วพื้นน้ำในทะเล เรือ MOTT ก็สามารถไปเก็บกู้คราบน้ำมันที่ปนเปื้อนในทะเลได้ โดยทำให้คราบน้ำมันอยู่ในบริเวณจำกัดเพื่อการเก็บกู้ หรือที่เราเรียกว่า บูม เป็นการล้อมคราบน้ำมันเอาไว้ไม่ให้กระจายออกไปเพื่อทำการกำจัดคราบ”

ที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งของเรือ MOTT คือสามารถลากแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีน้ำหนักมาก ย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้ ยังถูกออกแบบให้สามารถรองรับภารกิจที่ซับซ้อนและหลากหลายประเภท งานสำรวจน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติด้วย

เรือ MOTT เป็นเรือที่มีขนาดใหญ่ กว่าที่เรือลำนี้จะออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ ต้องใช้ทั้งเครื่องจักรและแรงงานคนช่วยกันสร้าง อย่างที่กล่าวแล้วว่า เรือลำนี้ไม่ได้ต่อกันง่ายๆ ต้องใช้ความรู้ ความสามารถ รวมถึงความเชี่ยวชาญในการต่อเรือเพื่อประกอบเรือลำนี้ให้ออกมาอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าคนไทยจะไม่มีชื่อเสียงเรื่องการต่อเรือ เมื่อเทียบกับประเทศที่เป็นเมืองท่าสำคัญ แต่หลายคนก็มีความสามารถ โดยรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากชาวต่างประเทศ ใช้วิธีครูพักลักจำนำความรู้กลับมาสร้างเรือเองได้อย่างมีคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล

เรือ MOTT ลำแรกของไทยที่สร้างโดยฝีมือคนไทยนี้ ได้รับการรับรองจากสถาบันชั้นนำของการต่อเรือ หน่วยงาน BV (Bureau Veriter) ว่าได้มาตรฐานสากล โลกยอมรับ รวมทั้งลูกเรือที่จะขึ้นไปประจำการที่เรือยังต้องมีการอบรมกันตั้งแต่กะลาสีเรือจนถึงกัปตันเรือ ทุกอย่างจะต้องเป็นระดับสากลทั้งสิ้น

ผู้จัดการเกรียงเดชบอกเป็นการปิดท้ายว่า ไม่เฉพาะเรือเท่านั้นที่ต้องได้มาตรฐานสากล แม้แต่ลูกเรือ กัปตัน และกะลาสีเรือ จะต้องมีมาตรฐานความเชี่ยวชาญระดับสากลเพื่อความปลอดภัยของผู้เช่าเรือ

“งานนอกชายฝั่งเป็นงานที่ทรหด ต้องแข่งกับแรงคลื่นลมทะเล เสี่ยงภัยอันตรายมากมายกับสภาพอากาศที่แปรปรวนตลอดเวลา ดังนั้น เรือน้ำลึกต้องมีมาตรฐานสูงสุด”

จึงนับเป็นความสำเร็จ น่าภาคภูมิใจของแรงงานไทยอีกก้าวหนึ่ง ที่ขึ้นสู่ระดับสากลในด้านอุตสาหกรรมการต่อเรือ เป็นการเบิกทางให้เห็นว่า อีกไม่นาน อุตสาหกรรมด้านนี้ของไทยอาจก้าวขึ้นอันดับเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมระดับโลก


อู่ต่อเรือบริษัท ยูนิไทย ชิปยาร์ด แอนด์ เอนจิเนียริ่ง

เป็นของนายชวลิต เชาว์ เป็นอู่ต่อเรือ ซ่อมเรือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 330 ไร่ ที่อำเภอแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เดิมก่อนจะทำธุรกิจซ่อมเรือ เคยทำธุรกิจทำโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ เช่น โครงสร้างสะพาน โรงานไฟฟ้า โรงกลั่น และเรือขนาดใหญ่ ยังมีการสร้างแท่นสำรวจน้ำมัน แท่นขุดเจาะน้ำมันส่งออกให้ต่างประเทศด้วย

สำหรับอู่ต่อเรือของที่นี่มีขนาดใหญ่เท่ากับสนามฟุตบอล 3 สนาม เรือหลวงจักรีนฤเบศร ก็เคยนำมาซ่อมที่นี่เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ยังมีบริษัท ยูนิไวส์ ออฟชอร์ จำกัด เป็นหนึ่งในเครือกลุ่มบริษัทยูนิไทย โดยการร่วมทุนระหว่าง บมจ.ยูนิไทย ไลน์ และบริษัท สวิทเซอร์ วิสมุลเลอร์ ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเครือของบริษัทเอ.พี มอลเลอร์-เมอร์ก กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจด้านพาณิชย์นาวีรายใหญ่ที่สุดของโลก

ปัจจุบันยูนิไวส์ ออฟชอร์ บริหารกองเรือโดยสารจำนวน 11 ลำ ซึ่งหมายรวมถึงเรืออเนกประสงค์(utilities line boat) และเรือดันจูง(MOTT) สำหรับให้บริการสนับสนุนในอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย

Share the Post: