โดย มติชนออนไลน์ วันที่ 06 มีนาคม 2551
Paradise on Earth โดย Rose มาลี
‘จะไปเวนิสต้องออกกำลังขาให้แข็งแรง เพราะบนเกาะต้องเดินอย่างเดียว ถึงเวนิสแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งกอนโดลา ไม่ได้ชมโบสถ์ซานมาร์โค ไม่ได้ไปนั่งทอดหุ่ยจิบกาแฟที่ ร้านฟลอเรียน ไม่ได้ไปเดินบนสะพานริอัลโต (Rialto) ถือว่ายังไปไม่ถึงเวนิสจริงๆ‘
ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก เวนิส(Venice) หรือ “เวเนเซีย” (Venezia) ในภาษาอิตาลี
ได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินสวรรค์ของนักท่องเที่ยวปีละกว่า 3 ล้านคนจากทุกมุมโลกที่ต้องบันทึกรอยทรงจำไว้ในแผนการเดินทาง เนื่องด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมืองลอยน้ำ ที่ประกอบขึ้นด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยในทะเลมากถึง 117 เกาะ เชื่อมติดต่อกันด้วยสะพาน กว่า 400 แห่ง
ทำให้เกิดเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่สวยงามและโรแมนติกสุดๆ ตั้งอยู่ริมคลอง(ที่เป็นน้ำทะเล) ประมาณ 150 คลอง นอกจากนั้นยังมีโบสถ์มากถึง 56 แห่ง โรงละคร 7 โรง พระราชเก่าและพิพิธภัณฑ์อีก 4 แห่ง
ถ้าจะเที่ยวกันให้ละเอียดละออจริงๆ ต้องอยู่ที่นั่นกันเป็นเดือนเลยค่ะ
แต่รับรองว่าไปถึงแล้วจะตกหลุมรักในมนต์เสน่ห์ของ “เวนิส” อย่างแน่นอนค่ะ
ส่วนใครที่มีคู่รักอยู่แล้วขอแนะนำให้เลือกเวนิสเป็นสถานที่ฮันนีมูนของท่าน แล้วจะรู้ซึ้งว่าน้ำผึ้งพระจันทร์นั้นมีรสชาติหวานมันขนาดไหน เพราะการเที่ยวชมสถานที่ต่างๆในเมืองนี้ มีเงื่อนไขที่จะทำให้คู่รักเดินจูงมือจู๋จี๋ดู๋ดี๋กันตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากเส้นทางสัญจรบนบกไม่อนุญาตให้รถยนต์ชนิดใดๆเข้าไปวิ่งเพ่นพ่าน ขณะที่เส้นทางการคมนาคมหลักนั้นอาศัยทางน้ำสถานเดียว
ดังนั้นถ้าไม่อยากเสียเงินลงเรือเมล์หรือเรือแจวอย่างเรือ “กอนโดลา” อันโด่งดัง ก็เห็นจะต้องใช้สองขาจูงมือกันเดินเที่ยวแหละค่ะ
ฉะนั้น ถ้าใครตั้งใจจะไปเที่ยวเวนิส ขอแนะนำให้ออกกำลังกายบริหารขาแข้งให้แข็งแรงก่อนเดินทางเป็นดีที่สุด เพราะแต่ละวันอย่างน้อยเชื่อว่าท่านต้องใช้สองขาพาหนะส่วนตัวขับเคลื่อนน้ำหนักของตัวเองไปไม่น้อยกว่า 5-6 กิโลเมตรเลยทีเดียว สำหรับการเดินชมสถานที่สำคัญๆ การออกไปรับประทานอาหาร ชอปปิ้ง หรือแม้แต่เดินเล่นริมคลอง ซึ่งบรรยากาศแบบนี้หาไม่ค่อยได้ในเมืองท่องเที่ยวใหญ่ของโลกที่มีผู้คนพลุกพล่านทั่วไป
แต่ถ้าขี้เกียจเดิน คิดจะโรแมนติกนั่งอิงแอบกันบนเรือกอนโดลาสัญลักษณ์สุดเริดของเวนิสล่ะก็ขอให้เตรียมเงินในกระเป๋าไว้ให้ตุงไปเลย เพราะอัตราค่าฝีพายหล่อๆพร้อมเรือขนาด 6 ที่นั่งจะคิดค่าบริการอยู่ระหว่าง 80-200 ยูโรต่อคนค่ะ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเจรจาต่อรองและทำเลว่าท่านไปเรียกเรือที่ท่าไหน
ถ้าเป็นคิวเรือแถวริมคลองใหญ่(แกรนด์คาแนล)ก็จะแพงหน่อย อัตรานี้เป็นแค่ค่าบริการเพียง 30 นาทีเท่านั้นเองนะคะ ซึ่งเวลาขนาดนี้แค่นั่งจากปากคลองใหญ่ไปเที่ยวโบสถ์ซานตามาเรียที่อยู่ใกล้ๆก็แทบจะหมดเวลาแล้ว
ทางที่ดีที่สุด Roseมาลี ขอแนะนำให้ เดิน เดิน และ เดินค่ะ จะสนุกกว่ามาก
แต่การได้มีประสบการณ์นั่งเรือกอนโดลาก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำสักครั้งในชีวิตเหมือนกัน แหม.. ไปถึงเวนิสแล้วนี่ ถ้าไม่ได้นั่ง กอนโดลา ไม่ได้เข้าไปชม โบสถ์ซานมาร์โค (เซนต์มาร์ค) ไม่ได้ไปนั่งทอดหุ่ยจิบกาแฟอร่อยที่ ร้านฟลอเรียน ข้างจตุรัส และไม่ได้ไปเดินเล่นถึง สะพานริอัลโต (Rialto) ก็ยังไม่ถือว่าไปเที่ยวเวนิสมาจริงๆ
เมื่อก่อนการนั่งเรือกอนโดลาเลาะเลี้ยวไปตามซอกซอยคลองเล็กคลองน้อยในเวนิสนั้นมีเสน่ห์และเต็มเปี่ยมด้วยความโรแมนติกจริงๆ เพราะฝีพายหนุ่มหล่อนอกจากจะอวดหน้าตาให้เราได้ชื่นใจแล้วยังร้องเพลงกล่อมไปด้วยตลอดทาง แต่เดี๋ยวนี้เมื่อนักท่องเที่ยวมากขึ้นต้องรีบเร่งทำเวลา คนพายเรือก็ไม่ค่อยร้องเพลงแล้วแต่หันมาเล่าตำนานเรื่องเมืองและตึกสำคัญสองฟากฝั่งที่เรือแล่นผ่านแทน แบบโม้ไปเรื่อยไม่รู้จริงเท็จแค่ไหน
กระนั้นคนก็ยังยอมจ่ายค่าเรือแพงๆเพื่อแลกกับ “ครั้งหนึ่งในชีวิต” แต่ถ้าอยากประหยัดแล้วยังได้บรรยากาศการนั่งเรือเที่ยวคลองในเวนิสอยู่ให้ลองใช้บริการเรือข้ามฝั่งคลองในจุดที่ไม่มีสะพานข้าม เสียค่าโดยสารเพียง 50 เซ็นต์ หรือไม่เกิน 1 ยูโร ถือว่าถูกมาก เพราะเรือที่นำมาบริการนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรือกอนโดลาเก่าที่ปลดระวางแล้ว เพียงแต่ระยะเวลานั่งอาจจะสั้นๆ แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง
ปัจจุบันเรือกอนโดลาใกล้จะกลายเป็นตำนานของเวนิสไปแล้วเพราะช่างทำเรือกอนโดล่าเหลืออยู่น้อยมากแทบจะนับคนได้
กอนโดลาทุกลำจึงออกมาจากอู่ต่อเรือแห่งเดียวที่เหลืออยู่ ซึ่งจะใช้เวลาสร้างลำละ 4 เดือนและอายุใช้งานนาน 20 ปี สนนราคาพอๆกับรถเก๋งยุโรป 1 คันเลยทีเดียว
กอนโดลาจะมีขนาดและรูปลักษณ์เหมือนกันตามข้อบังคับของสภาเมืองเวนิสที่ให้ใช้เฉพาะสีดำเท่านั้นเพื่อให้ขลังเข้ากับบรรยากาศของเมืองเป็นสัญลักษณ์ที่ยั่งยืนของเวนิสตลอดไป
สำหรับ สะพานริอัลโต (Rialto) เดิมเป็นสะพานไม้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ปัจจุบันปรับปรุงซ่อมแซมใหม่เป็นสะพานหินแข็งแรง ที่มีความสำคัญก็เพราะเป็นสะพานข้ามคลองใหญ่(Grand Canal)เพียงแห่งเดียวมายาวนานเป็นพันปี จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1854 จึงมีการสร้างสะพานแห่งใหม่ข้ามแกรนด์คะแนลเพิ่มขึ้น
จากสะพานแห่งนี้จะมองเห็นวิวสวยมุมกว้างสวยๆของคลองใหญ่ได้ดี และบริเวณรอบๆ สะพานจะมีร้านขายของที่ระลึกมากมายแถมยังอยู่ใกล้ตลาดสดด้วย ใครอยากได้บรรยากาศเที่ยวตลาดของฝรั่งก็ต้องไปเดินแถวนั้น
เรื่องของสะพานที่น่าสนใจและมีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของเวนิสก็คือ “สะพานสะอื้น”(Bridge of Sighs) หรือบางคนก็เรียกว่า “สะพานแห่งการทอดถอนใจ” ซึ่งทอดข้ามคลองด้านหลัง วังดูเคล (Palazzo Ducale หรือ Doge’s Palace) ของผู้ปกครองเวนิสในอดีต ซึ่งปัจจุบันได้รับการดูแลรักษาไว้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์สำคัญของเมือง
วังแห่งนี้เป็นศิลปะแบบโกธิคสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ด้วยหินอ่อนสีชมพูจากเมืองเวโรน่าอันโด่งดัง มีการบูรณะเพิ่มเติมหลายครั้ง ภายในตกแต่งด้วยภาพเขียนและศิลปะหลายยุคสมัย มีห้องหับมากมาย รวมทั้งห้องทรมานนักโทษซึ่งจะมีทางออกด้านหลังไปยังสะพานแห่งการทอดถอนใจเพื่อข้ามไปเข้าคุกที่อยู่อีกฟากฝั่งคลอง
ว่ากันว่าสะพานแห่งนี้คือจุดหายใจเฮือกสุดท้ายแห่งอิสรภาพของเหล่านักโทษที่ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกเมื่อไหร่ นั่นคือที่มาของชื่อสะพานค่ะ และคุกแห่งนี้เองเป็นที่คุมขังนักรักกระเดื่องนาม “คาสโนว่า” ซึ่งเขาเป็นนักโทษเพียงคนเดียวที่สามารถแหกคุกนี้หนีออกมาได้
ส่วนจุดสำคัญที่สุดที่เป็นหัวใจและสัญลักษณ์แท้จริงของเวนิสก็คือ โบสถ์ซานมาร์โค (Basilica di San Marco) หรือ เซนต์ มาร์ค ในภาษาอังกฤษ เป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนหลากสีสวยงามอลังการด้วยศิลปะไบแซนไทน์ผสมผสานกับศิลปะเรอเนซองซ์ สะท้อนให้เห็นถึงความร่ำรวยของเวนิสในหมู่พ่อค้าทางทะเลสมัยนั้น
ด้านหน้าวิหารเป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ ศูนย์รวมของทุกอย่างที่เป็น ‘เวนิส’ เป็นทั้งห้องรับแขกต้อนรับทุกคนที่ไปถึง จุดนัดพบ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สถานที่ชมโบราณสถาน ที่รวมตัวของศิลปินนัดวาด นักเขียน นักร้อง นักดนตรี ฯลฯ ที่มาแสดงอารมณ์สุนทรีย์ผ่านงานหลากหลายรูปแบบของพวกเขา
สำหรับบางคน การได้ไปนั่งจิบกาแฟร้อนกรุ่นในร้านกาแฟหรูๆ รอบจตุรัสซานมาร์โค อย่างร้าน ฟลอเรียน(Florian) แลกกับกาแฟถ้วยละ 10 ยูโร เคล้าเสียงไวโอลินแสนหวาน กวาดตาดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาสลับกับชมโบสถ์ หอระฆังและหอนาฬิกาซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในเวนิสมันช่างแสนสุขจริงๆ
จึงไม่แปลกที่มีเรื่องเล่ากันว่า ครั้งหนึ่ง…เมื่อนโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่ผ่านทางมาถึงจัตุรัสซานมาร์โคทรงประทับใจกับความงดงามถึงขนาดออกปากว่าที่นี่คือ “ห้องรับแขกที่สวยงามที่สุดของยุโรป”(The finest drawing room in Europe)
เวนิส สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคโรมัน โดยกลุ่มคนที่หนีสงครามมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะเล็กๆ กลางอ่าวที่รกร้างเงียบสงบ ใช้น้ำเป็นปราการป้องกันการบุกรุกจากผู้กระหายสงครามภายนอก เมื่อเมืองเติบโตขึ้นและขยายตัวออกไปชาวเมืองก็สร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มโดยการตอกเสาเข็มไม้จำนวนมากลงไปในทะเลซึ่งมีลักษณะเป็นดินเลนอ่อนนุ่มจนสร้างบ้านขึ้นมาทีละเล็กละน้อยเป็นกลุ่มๆ เกิดเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยเชื่อมต่อกันด้วยสะพานข้ามคลอง
ถ้าได้ไปเห็นสภาพบ้านเรือนของชาวเวนิสกับตาตัวเองแทบจะไม่อยากเชื่อว่าอาคารบ้านเรือน ตึกใหญ่โตทั้งหลายเหล่านั้นสร้างอยู่บนตอม่อล้วนๆ ไม่ได้มีผืนดินรองรับเลย ดังนั้นเมื่อโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆและน้ำทะเลมีระดับสูงขึ้น เวนิสจึงประสบปัญหาน้ำท่วมแทบทุกปี ถึงขนาดคาดกันว่าวันหนึ่งเวนิสอาจเป็นเมืองที่จมหายไปใต้ทะเลในที่สุด
เวนิสรุ่งเรืองขึ้นหลังยุคโรมันล่มสลายเมื่อรัฐเล็กๆ แตกตัวเป็นอิสระปกครองตัวเอง เวนิสเก่งกล้าสามารถเรื่องการค้าทางทะเล มีกองเรือสินค้าใหญ่โตจนเป็นศูนย์กลางการค้าขายแถบทะเลเอเดรียติกและเป็นเมืองท่าของอิตาลีที่ค้าขายกับพ่อค้าอาหรับก่อนใคร นอกจากนั้นยังมีความสำคัญในฐานะบ้านเกิดของ “มาร์โคโปโล” นักผจญภัยชื่อดังที่เดินทางผ่านเส้นทางสายไหมไปถึงเมืองจีนซึ่งทำให้เกิดการถ่ายเทวัฒนธรรมจากตะวันออกสู่ตะวันตกครั้งสำคัญ ถึงขนาดเชื่อกันว่า เส้นสปาเก็ตตี้ อันโด่งดังของชาวอิตาเลียนนั้นมีต้นกำเนิดมาจากเส้นบะหมี่ที่เมืองจีนนั่นเอง
นครเวนิสเจริญรุ่งเรืองสูงสุดช่วงสงครามครูเสด ในฐานะทางผ่านซึ่งเป็นจุดแวะพักของเหล่านักรบชาวคริสต์ทำให้การค้าขายเจริญก้าวหน้าอย่างมาก ผู้ปกครองเวนิสในสมัยนั้นอนุญาตให้ทหารครูเสดเข้าไปตั้งกองเรือ 500 ลำ เพื่อช่วยกันปล้นสะดมภ์กรุงคอนสเตนดิโนเปิลและเข่นฆ่าชาวเมืองอย่างโหดเหี้ยม โดยเวนิสมีเอี่ยวได้ส่วนแบ่ง 1 ใน 4 ของทรัพย์สิน ทำให้เวนิสกลายเป็นขุมทรัพย์สำคัญของอิตาลีที่รวบรวมเอาเพชรนิลจินดาและงานศิลปะจากการปล้นสะดมภ์ไว้อย่างมากมาย
เห็นไหมล่ะว่าเบื้องหลังของความรุ่งเรืองร่ำรวยทั้งหลายนั้นมักจะมีอะไรที่ชั่วร้ายซ่อนอยู่ ไม่มากก็น้อย
เบื้องหลังทรัพย์สินมหาศาลเหล่านี้คือเลือดเนื้อของผู้คนที่ทับถมอยู่บนถนนอดีตซึ่งสร้างบาดแผลในใจให้กับชาวเมืองเวนิสมาจนถึงทุกวันนี้ เวนิสจึงเป็นเสมือนหน้ากากที่ซุกซ่อนเรื่องราวไว้มากมาย
อยากเที่ยวเวนิสให้สนุกขอแนะนำให้เดินทางไปในช่วงงานเทศกาลมาดิกราส์ หรือคาร์นิวัล ซึ่งเป็นประเพณีสวมหน้ากากที่เก่าแก่และสนุกสนานรื่นเริงมาก งานนี้จะมีขึ้น 41 วันก่อนอีสเตอร์ของทุกปี
สำหรับปีนี้เวนิสคาร์นิวัลจัดขึ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 25 มกราคมถึง 5 กุมภาพันธ์ 2551
ส่วนปีหน้าเตรียมตัวไว้เลยค่ะจะจัดระหว่างวันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ ถึง 24 กุมภาพันธ์ 2552
จองที่พักไว้แต่เนิ่นๆ แล้วจะไม่ผิดหวังค่ะ