marinerthai

เสน่ห์จันท์ “พิพิธภัณฑ์ฯ พาณิชย์นาวี”

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์  วันที่ 29 มีนาคม 2553

จันทบุรี จังหวัดนี้มีของดีทางการท่องเที่ยวหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวี” ที่สร้างขึ้นเพื่อการศึกษาวัฒนธรรมของคนที่เกี่ยวข้องกับน้ำ โดยมุ่งเน้นในเรื่องความเป็นมาของการคมนาคมทางน้ำ การติดต่อค้าขายและความสัมพันธ์ระหว่างเมืองท่าต่างๆ นับจากอดีตเชื่อมโยงมาถึงปัจจุบัน รวมถึงเป็นสถานที่ศึกษาเรื่องราวของท้องถิ่นในหลากหลายมิติ

พิพิธภัณฑ์ฯพาณิชย์นาวี ตั้งอยู่ที่ ค่ายเนินวง ต.บางกะจะ อ.เมือง ค่ายโบราณที่สร้างขึ้นรับศึกญวน(เวียดนาม)ในสมัย ร.3 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2537 มีลักษณะอาคารแฝด 2 ชั้น ภายในมีการแบ่งห้องจัดแสดงออกเป็น 6 ห้อง ได้แก่

ห้องจัดแสดงสินค้าและวิถีชีวิตชาวเรือ

จากทางโถงด้านหน้าเดินขึ้นบันไดมาก็จะพบห้องนิทรรศการที่จัดแสดงให้เห็นวิวัฒนาการด้านพาณิชย์นาวีในดินแดนแถบนี้ตั้งแต่ยุคโบราณ พร้อมด้วยเส้นทางการเดินเรือ เมืองท่าโบราณ และสินค้า

ในห้องนี้มีไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การจำลองเรือสำเภาไทยโบราณ(ขนาดเล็กที่สุด)มาจัดแสดงไว้อย่างอลังการกลางห้อง เรือลำนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ กง กราบเรือ กระดูกงู มีชื่อว่า“บรรพนาวิน” เขียนติดอยู่ที่ท้ายเรือ ซึ่งคุณวิรัช สุริวงวศ์ เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ฯ กล่าวว่า บรรพนาวิน หมายถึง บรรพบุรุษแห่งการเดินเรือ ส่วนนกฟีนิกซ์ที่เกาะอยู่บนภูเขากลางทะเล คือความเป็นอมตะ ฆ่าไม่ตาย เปรียบดังเรือไม่ล่ม

ด้านหน้าของเรือบรรพนาวินวาดเป็นรูปราหู(หนึ่งในรูปที่ชาวเรือเคารพ) มีตาเรือวงกลมขอบนอกขาวขอบในดำอยู่ด้านข้าง ซ้าย-ขวา

“นี่เป็นรูปแบบของตาเรือสินค้าคือมีตาสีดำมองไปข้างหน้า ส่วนตาเรือประมงจะเป็นรูปตาดำเหลือบมองลงต่ำ แต่ถ้าเป็นตาเรือโจรสลัดจะเป็นรูปตาตัดเหลือเพียงครึ่งเดียว ถ้าใครเจอกลางทะเล ต้องรีบหนีทันที” คุณวิรัชอธิบาย

เรือลำนี้แม้จะจำลองมาจัดแสดงแต่ว่าก็ทำเหมือนจริง นักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปชมห้องต่างๆในท้องเรือ ระวางเรือ และสามารถขึ้นไปบนเรือได้ โดยระวางสินค้าแรกจัดจัดแสดงไหสี่หูเคลือบน้ำตาลดินแห่งเมืองสิงห์บุรี และเครื่องเคลือบสังคโลกเขียวไข่กาที่ขุดค้นพบ ส่วนระวางต่อไปเป็นผ้าไหมแพรพรรณที่นำมาจากจีน มีเครื่องเทศที่นำไปขาย ด้านระวางกลางเรือมีทองแดงจำนวนมากซึ่งนอกจากจะเป็นวัสดุที่ซื้อมาเพื่อให้ประโยชน์แล้วยังเป็นอับเฉาเรืออีกด้วย ต่อมาเป็นระวาง 4 เป็นที่เก็บไม้ฝาง ในขณะที่ระวางท้ายเรือเป็นส่วนทำอาหารและห้องจับกังเรือที่อยู่กันแบบง่ายๆตามอัตภาพ

จากชั้นล่างมาดูชั้นบนของเรือกันบ้าง บนนี้เป็นที่จัดแสดงวิถีชาวเรือ มีกัปตันเรือหรือจุ่มจู๊หรือไต้ก๋งยืนคุมคนงานบนชั้นดาดฟ้า ในขณะชั้นที่บนเรือนั้นมีการจำลองเรื่องราวบนเรือให้ดูหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ”อาปั๋น” คนดึงเชือกใบเรือ ผู้มีหน้าที่ดูแลเรือ มีเฒ่าเต้งทำหน้าที่ดูแลสมอเรือ มีจุมโผ่หรือกุลี จับกัง แบกหามสิ่งต่างๆบนเรือ ร่วมด้วยองค์ประกอบต่างๆของเรือ อาทิ ใบเรือ พังงาเรือ ลูกตะเภาทำจากหวายใช้สำหรับกันเรือกระแทก

นอกจากเรือบรรพนาวินแล้วในห้องจัดแสดงสินค้าและวิถีชีวิตชาวเรือ ยังมีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่ขุดพบจากแหล่งเรือจมในบริเวณอ่าวไทย อาทิ จี้ทองคำฝังพลอยแดง กำไลข้อมือทองคำ เครื่องถ้วยสังคโลก เหรียญเงินสมัยราชวงศ์ถัง คันฉ่อง(กระจก) แหนบ กุญแจจีน เบ็ด ไข่เป็ด ก้างปลา ฯลฯ ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุราว 300 – 400 ปี หรือตั้งแต่ช่วงอยุธยาตอนกลางถึงตอนปลาย

ห้องแนะนำปฏิบัติการโบราณคดีใต้น้ำ

เป็นห้องอยู่ด้านในสุดของตัวอาคาร โดยจำลองสภาพจริงของแหล่งโบราณคดีใต้น้ำ ตลอดจนวิธีการทำงานของนักโบราณคดีใต้น้ำ เริ่มตั้งแต่ประวัติความเป็นมาของงานโบราณคดีใต้น้ำในประเทศไทย โบราณคดีใต้น้ำคืออะไร แตกต่างจากโบราณคดีบนบกอย่างไร รวมไปถึงเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการปฏิบัติงานจริง ซึ่งที่เด่นๆก็มีการจำลองวิธีการทำงานของทีมงานนักโบราณคดีใต้น้ำจากเรือบางกระชัย 4 มาจัดแสดง

ห้องคลังเก็บโบราณวัตถุ

อยู่ถัดลงมาชั้นล่าง เป็นห้องกระจกเปิดโล่งเพียงด้านเดียวเพื่อแสดงให้เห็นถึงการเก็บรักษาโบราณวัตถุภายในพิพิธภัณฑ์นับหมื่นชิ้น โดยทั่วไปแล้วพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติๆ จะไม่มีการเปิดแสดงให้บุคคลภายนอกได้เห็นมากนัก เนื่องจากคลังเก็บโบราณวัตถุมักเป็นห้องอยู่ภายในอาคาร แต่ที่นี่จะเปิดด้านหนึ่งเป็นช่องกระจกให้สามารถมองเห็นโบราณวัตถุที่จัดแสดงและเก็บรักษาในคลัง โบราณวัตถุภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวีเกือบทั้งหมดเป็นโบราณวัตถุจากแหล่งเรือจมในน่านน้ำอ่าวไทย ที่ได้มาจากการทำงานสำรวจขุดค้นทางโบราณคดีใต้น้ำของกลุ่มวิชาการโบราณคดีใต้น้ำ และจากการตรวจยึดจับกุมผู้ลักลอบงมโบราณวัตถุใต้ท้องทะเลมาขาย นอกจากนี้ยังมีโบราณวัตถุที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดีบนบกในพื้นที่เขตจังหวัด จันทบุรี อีกด้วย

ห้องแสดงเรือและชีวิตชาวเรือ

เป็นการจัดแสดงเรือต่างๆ ในประเทศไทย ทั้งเรือขุดและเรือต่อ ว่ามีเรือชนิดใดบ้าง ลักษณะเป็นอย่างไร และเรือแบบใดกันอยู่ในแถบใด เริ่มตั้งเรือลำเล็กที่ใช้ในแม่น้ำลำคลอง ไปจนถึงเรือสินค้าขนาดใหญ่ในท้องทะเล โดยเรือทั้งหมดได้ทำย่อส่วนตามจริง เพื่อให้ผู้ชมได้รู้จักเรือที่บางชนิดได้ยินเพียงชื่อ แต่ยังไม่เคยเห็นว่าที่จริงแล้วมีลักษณะอย่างไร เช่น เรือผีหลอก เรือพายม้า เรือหมู เรือแม่ปะ เรือฉลอมท้ายญวน เรืออีโปง เรือประทุน เรือกอและเรือหางแมงป่อง เรือสำเภา เป็นต้น

นอกจากนี้ที่บริเวณทางเดินด้านหน้าห้องแสดงเรือและวิถีชีวิตชาวเรือ ยังมีการจัดแสดงเรือรบสมัยใหม่แบบย่อส่วน รวมไปถึงเรือพระราชพิธี เครื่องประกอบเรือพระราชพิธี และหากเดินทางไปตามทางเดินก็จะพบเก๋งเรือโบราณในสมัยราชกาลที่ 5 รวมถึงซากเรืออายุราว 200 ปีที่ขุดมาจากไม้ตะเคียนต้นเดียวแต่ว่ายังขุดไม่เสร็จ สันนิษฐานว่าอาจเกิดจาก ความแรงความเฮี้ยนของไม้ตะเคียน หรือเกิดจากการขึ้นรูปเรือผิดพลาด หรือเกิดจากชุมชนที่ขุดเรือโยกย้ายถิ่นฐานไปเสียก่อน

ห้องของดีเมืองจันท์

แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์เมืองจันทบุรีว่ามีความเป็นมาอย่างไร ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์

จนถึงสมัยประวัติศาสตร์ การก่อตั้งเมือง เหตุการณ์สำคัญ และเรื่องชาติพันธุ์วิทยาของชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมของจันทบุรีที่เรียกว่าตนเองว่า “ชาวชอง” นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงให้เห็นถึงมรดกทางธรรมชาติสถานที่ท่องเที่ยว และของดีที่มีชื่อเสียงของจังหวัดจันทบุรี อาทิ พลอย ผลไม้ เสื่อ ฯลฯ

ห้องบุคคลสำคัญ

เพื่อเป็นการเชิดชูพระมหาวีรกรรมขององค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในห้องนี้จึดจัดแสดงถึงเรื่องราวพระราชประวัติของพระองค์ที่เกี่ยวข้องกับการทำสงครามเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่เส้นทางเดินทัพเมื่อคราวมารวบรวมพลที่จันทบุรี ก่อนจะยกทัพกลับไปกู้กรุงศรีอยุธยาคืนจากพม่าตลอดจนขึ้นปราบดาภิเษก รวมไปถึงการเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระองค์ในด้านต่างๆ อาทิ การเมือง การปกครอง ศิลปะ และวรรณกรรม เป็นต้น

และนั่นก็เป็น 6 ห้องจัดแสดงในพิพิธภัณฯพาณิชย์นาวี อีกหนึ่งของดีแห่งเมืองจันท์ที่หากใครมีโอกาสผ่านไปแถวนั้น น่าจะหาเวลาแวะเวียนเข้าไปชม เพราะนี่คือพิพิธภัณฑ์แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทยที่เก็บรักษาโบราณวัตถุใต้ท้องทะเลจำนวนมากนับหมื่นๆชิ้นที่หาชมไม่ได้ง่ายๆเลย


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวี ตั้งอยู่ที่ หมู่ 8 ค่ายเนินวง ต.บางกะจะ อ.เมือง จ.จันทบุรี เปิดทำการตั้งแต่วันพุธ-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น. ค่าธรรมเนียมเข้าชม คนไทย 20 บาท ต่างชาติ 100 บาท นักเรียน นักศึกษา ในเครื่องแบบ และพระภิกษุสามเณร ไม่เสียค่าเข้าชม ซึ่งผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-3939-1431,0-3939-1433

Share the Post: