โดย มติชน วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10577
คอลัมน์ โลกสามมมิติ
โดย บัณฑิต คงอินทร์ bandish.k@psu.ac.th
วันที่ 13 เมษายน 2036 โลกอาจจะประสบหายนะอย่างใหญ่หลวงจากดาวเคราะห์น้อยอโพฟิส (Apophis) หรือ 2004 MN4 ชนโลก ณ ที่ใดที่หนึ่งในบริเวณตั้งแต่ทางตะวันออกของไซบีเรียจนถึงแนวชายฝั่งทางตะวันตกของแอฟริกา
ก่อนถึงปี 2036 ดาวเคราะห์น้อยอโพฟิสจะโคจรเฉียดโลกที่ระยะห่างเพียง 36,350 กิโลเมตร ในปี 2029
แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญซึ่งศึกษาดาวเคราะห์น้อยอันตรายขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 250 เมตร ดวงนี้จะบอกว่า มีโอกาสเพียง 1 ใน 45,000 เท่านั้น ที่มันจะชนโลกในปี 2036 แต่นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากก็ยังหวั่นไหว เพราะปัจจุบันโลกยังไม่มีมาตรการใดๆ ที่จะรับมือกับดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางเลย ขณะที่ดาวเคราะห์น้อยอันตรายถูกค้นพบมากขึ้นเรื่อยๆ จนน่ากลัว
นอกจากนั้นแล้วการตรวจจับดาวเคราะห์น้อยที่ผ่านมาก็ยังมีขีดจำกัด ถึงวันนี้โครงการค้นหาเทหวัตถุใกล้โลกขององค์การนาซา (NASA”s Near Earth Object programme) ขึ้นบัญชีดาวเคราะห์น้อยอันตรายขนาดใหญ่เพียงจำนวน 127 ดวง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามันมีมากกว่านั้นหลายเท่าโดยคาดว่าเมื่อถึงปี 2020 จะพบเพิ่มอีกเป็นพันดวง
ดาวเคราะห์น้อยอันตรายไม่ใช่มีเพียงแค่ดวงใหญ่ๆ เท่านั้น แต่ดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กกว่า 500 เมตร ก็สามารถถล่มเมืองขนาดใหญ่ทั้งเมืองให้ราบเป็นหน้ากลองได้และอาจอันตรายยิ่งกว่าดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ เพราะกล้องโทรทรรศน์ที่มีอยู่สามารถตรวจจับมันได้ล่วงหน้าเพียงไม่กี่ปีก่อนที่มันจะชนโลก หรือตรวจจับไม่ได้เลย
ด้วยเหตุนี้สภาคองเกรสของสหรัฐจึงได้มอบหมายให้นาซากำหนดแผนที่จะตรวจจับตำแหน่ง ความเร็ว วิถีโคจร ของเทหวัตถุใกล้โลกขนาด 140 เมตรขึ้นไปซึ่งสลัวๆ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2020
ดร. สตีเวน เชสลีย์ นักวิทยาศาสตร์ของนาซาบอกว่า สภาคองเกรสของสหรัฐเห็นว่าการตรวจจับดาวเคราะห์น้อยของนาซาที่ผ่านมายังไม่เพียงพอต่อการรับมือกับภัยคุกคาม และขอให้นาซาทำการสำรวจอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
ตอนนี้นาซาจึงปรับเปลี่ยนเป้าหมายใหม่จากการตรวจจับเทหวัตถุใกล้โลกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 700 เมตรขึ้นไปมาเป็น 70 เมตรขึ้นไป โดยมีแผนที่จะสร้างกล้องโทรทรรศน์ที่มีประสิทธิภาพสูงคือ Large Synoptic Survey Telescope (LSST) หรืออาจจะเป็นกล้อง Panoramic Survey Telescope & Rapid Response System (Pan-Starrs) ซึ่งนาซาคาดว่าจะสามารถค้นพบดาวเคราะห์น้อยอันตรายได้มากถึง 20,000 ดวงเลยทีเดียว
ด้านชุมชนดาราศาสตร์ก็ได้มีการเคลื่อนไหวเรื่องนี้กันแล้ว
โดยในการประชุมใหญ่ของสหพันธ์ดาราศาสตร์นานาชาติ (International Astronomical Union – IAU) ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงปราก ประเทศสาธารณรัฐเช็กเมื่อวันที่ 14-25 สิงหาคม 2006
ที่ประชุมได้หยิบยกเรื่องภัยคุกคามจากดาวหางและดาวเคราะห์น้อยประเภท “เทหวัตถุใกล้โลก” (Near-Earth Objects -NEOs) มาพิจารณากันด้วย ซึ่งไอเอยูแถลงว่า ได้จัดตั้งทีมงานพิเศษขึ้นมาศึกษาภัยคุกคามจากเทหวัตถุใกล้โลกอย่างละเอียดและกว้างขวางยิ่งขึ้น
ล่าสุด สมาคมนักสำรวจอวกาศ (Association of Space Explorers) องค์กรวิชาชีพของนักบินอวกาศและมนุษย์อวกาศกำลังเตรียมร่างสนธิสัญญาว่าด้วยการจัดการกับภัยคุกคามจากดาวเคราะห์น้อยเสนอต่อองค์การสหประชาชาติเพื่อให้มีกระบวนการตัดสินใจระดับโลกในการประเมินผลกระทบและการปฏิบัติซึ่งรวมถึงการกำหนดนโยบายว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในปฏิบัติการผลักดาวเคราะห์น้อยให้พ้นจากวิถีโคจรที่จะชนโลก
ดร.รัสเซลล์ ชไวการ์ท อดีตมนุษย์อวกาศยานอพอลโล 9 ผู้ก่อตั้งสมาคมนักสำรวจอวกาศบอกว่าพวกเขาเชื่อว่ามีความจำเป็นที่จะต้องมีกระบวนการตัดสินใจในการจัดการกับปัญหานี้และนำไปใช้โดยสหประชาชาติ
เขายังอธิบายว่า ภัยคุกคามจากดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่หมดไปจากการเฝ้าติดตามศึกษาซึ่งพบวิถีโคจรที่แน่นอนของมัน ทว่าในบางกรณีต้องใช้เวลานานมาก
“ถ้าคุณรอคอยความแน่นอน มันอาจจะสายเกินไป” เขาบอก
สมาคมนักสำรวจอวกาศ จะจัดประชุมครั้งแรกในเดือนเมษายน 2007 นี้ และจะรับฟังข้อเสนอจากนักวิทยาศาสตร์ นักกฎหมาย นักการทูต รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัย และคาดว่าจะเสนอร่างสนธิสัญญาต่อคณะกรรมาธิการการใช้อวกาศเพื่อสันติของสหประชาติในปี 2009
การกำหนดวิธีการจัดการกับดาวเคราะห์น้อยก็เป็นหนึ่งในร่างสนธิสัญญา นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรเคยเสนอวิธีการไว้หลายวิธี อาทิ ใช้ระเบิดนิวเคลียร์ทำลายอย่างในภาพยนตร์เรื่องอมาเกดดอน การใช้ฝูงยานอวกาศซึ่งมีสว่านเจาะลงใต้พื้นผิวและดันมันออกไป และการใช้กระจกรับแสงอาทิตย์จากยานอวกาศส่องไปยังพื้นผิวเพื่อให้เกิดความร้อนสูง ซึ่งจะทำให้มันเปลี่ยนวิถีโคจรได้
ปัจจุบันมีวิธีการใหม่ซึ่งเสนอโดย ดร.เอ็ดเวิร์ด ลู นักวิทยาศาสตร์และมนุษย์อวกาศของนาซา คือการใช้แรงโน้มถ่วงของยานอวกาศขนาดใหญ่ดึงให้ดาวเคราะห์น้อยเปลี่ยนวิถีโคจร
แต่วิธีนี้ก็มีข้อยุ่งยากคือต้องใช้ยานอวกาศขนาดใหญ่และยานจะต้องเข้าใกล้ดาวเคราะห์น้อยมากด้วยจึงจะเกิดผล ตัวอย่างเช่น ยานอวกาศต้องมีน้ำหนักถึง 20 ตัน และยานต้องอยู่ใกล้ดาวเคราะห์น้อยเพียง 50 เมตรนานนับปี จึงจะดึงดาวเคราะห์น้อยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 200 เมตร ให้เปลี่ยนวิถีโคจรได้
อย่างไรก็ตาม การสร้างยานอวกาศขนาดใหญ่ก็มีความเป็นไปได้ นาซาเคยมีโครงการโพรมีธีอุส ยานสำรวจขนาดใหญ่ใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสำรวจขอบระบบสุริยะ แต่โครงการถูกเลื่อนออกไปก่อน
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าไม่ว่าจะยุ่งยากอย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของดาวเคราะห์น้อยอันตรายที่มากขึ้นๆ จะกดดันให้นักวิทยาศาสตร์และนักการเมืองต้องเตรียมการป้องกันโลกมากกว่าที่แล้วๆ มา
ดร.รัสเซลล์ ชไวการ์ท กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า เราไม่สามารถป้องกันพายุเฮอร์ริเคนได้ แต่เราสามารถป้องกันดาวเคราะห์น้อยชนโลกได้โดยการเปลี่ยนรูปร่างของระบบสุริยะเพียงเล็กน้อยเพื่อประกันความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตบนโลก