marinerthai

อันดามันปฏิบัติการเวฟ007หนีสึนามิ!

โดย ทีมข่าวรายงานพิเศษ หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2550

เสียงไซเรนจากหอสัญญาณเตือนภัยหน้า ร.ร.บ้านคลองม่วง ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ แผดเสียงโหยหวนบาดแก้วหู คะเนไม่ต่ำกว่า 120 เดซิเบล

นักเรียนชาย-หญิงในชุดลูกเสือสมุทรสีขาวกว่า 100 ชีวิต วิ่งกระหืดกระหอบออกจากโรงเรียน ไปตามถนนลาดยาวมุ่งสู่เนินเขาสูง ดูเหมือนว่าพวกเด็กเหล่านี้กำลังวิ่งหนีบางสิ่งบางอย่างอยู่

ไม่นานคำประกาศเตือนจากเสียงตามสายก็ดังตามมาช่วยให้รู้ว่าเด็กๆ เหล่านี้กำลังหนีภัยสึนามิ !!!

โปรดทราบๆ เกิดแผ่นดินไหวในทะเล อาจเกิดคลื่นสึนามิ ให้ออกจากชายหาดให้ไกลที่สุด ไปยังพื้นที่สูงโดยด่วน‘ เสียงตามสายทวนคำประกาศอีกครั้งและเปลี่ยนเป็นภาษาอื่นๆ อีก 4 ภาษา

โรงเรียนแห่งนี้อยู่ห่างจากชายหาดเพียงแค่ถนนกั้น เช่นเดียวกับโรงเรียนและชุมชนริมชายทะเลอีกหลายแห่งของ จ.กระบี่ จึงต้องติดตั้งหอเตือนภัยเพราะอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยคลื่นยักษ์สึนามิ

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง…’ชายหาด‘ หน้า ร.ร.บ้านคลองม่วง ยังสงบเงียบ มีเพียงระลอกคลื่นเล็กๆ ซัดเข้าหาฝั่ง แต่เด็กนักเรียนหลายคนกำลังหมดแรง บางคนเป็นลมล้มพับไปกับการเดินสลับวิ่งเป็นระยะทาง 1,200 เมตร กว่าจะถึงเป้าหมาย

ภาพความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้…เป็นเพียงแค่ “การซ้อมหนีสึนามิ” เท่านั้น

บ่ายวันหนึ่งของเดือนกรกฎาคมที่โรงเรียนริมทะเลแห่งนี้ นักเรียนชั้น ป.2 ร่วม 20 คน ออกมาเรียนการอ่านวิชาภาษาไทยอยู่ใต้ร่มไม้หน้าอาคารเรียน บอกเล่าถึงเหตุการณ์วันซ้อมหนีคลื่นสึนามิที่โรงเรียนจัดขึ้นให้ “คม ชัด ลึก” ฟังด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

“หนูวิ่งจนเป็นลม เพื่อนก็เป็นลมเหมือนกันค่ะ” เด็กหญิงนักเรียนชั้น ป.2 บอก

“สึนามิมาต้องวิ่งขึ้นที่สูง” เด็กนักเรียนชั้น ป.2 ตอบประสานเสียง เมื่อถามว่าสึนามิมาต้องทำอย่างไร?

“วันที่ 25 กรกฎาคมนี้ ก็ต้องวิ่งอีก” เด็กหญิงอีกคนเสริม

แม้ว่าจะเกิดภัยพิบัติจากคลื่นสึนามิมานานเกือบ 3 ปีแล้ว แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่า จะไม่เกิดคลื่นยักษ์ขึ้นอีกครั้ง ดังนั้น วันที่ 25 กรกฎาคมนี้ จึงถูกกำหนดให้เป็นวันซ้อมระบบเตือนภัยและอพยพหนีภัยสึนามิครั้งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ด้วยเงินสนับสนุนจากองค์กรต่างประเทศ 20 ล้านบาท เพื่อให้ความรู้และให้โรงเรียนจัดทำแผนอพยพคนในชุมชนและนักเรียน โดยมีโรงเรียนนำร่องทั้งสิ้น 24 แห่ง จาก 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน

การซ้อมใหญ่ครั้งนี้ยังเป็นการทดสอบความพร้อมของระบบและหอเตือนภัย 79 แห่ง ว่ายังใช้ได้การดีอยู่หรือไม่? โดยปฏิบัติการครั้งนี้มีชื่อว่า ‘Andaman Wave 007′

บ้านกมลา” เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ต้องเตรียมแผนอพยพจากแนวคิดของนักเรียนเอง…เดิมทีโรงเรียนแห่งนี้เคยเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวตั้งรับลมอยู่ริมชายหาดกมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต มาค่อนศตวรรษ แต่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิกวาดกลืนอาคารไม้เก่าแก่หายไปในทะเลเพียงชั่วพริบตา ภัยพิบัติครั้งนั้นเกือบทำให้โรงเรียนต้องระเห็จไปอยู่ที่อื่น โดยอ้างเหตุความปลอดภัย

เมื่อความพยายามจะย้ายโรงเรียนออกจากทำเลทองริมชายหาดกมลาล้มเหลว เนื่องจากได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปลี่ยนสภาพจากโรงเรียนไม้เล็กๆ กลายเป็นโรงเรียนที่ก่อสร้างอย่างมั่นคงถาวร มีอาคารเรียนสูง 3-4 ชั้น รองรับนักเรียนประจำและไปกลับกว่า 300 ชีวิต พร้อมกับตั้งชื่อใหม่ว่า “ราชประชานุเคราะห์ 36

สำหรับแผนอพยพของนักเรียนโรงเรียนนี้ ไม่ต่างไปจากบริษัทต่างๆ ที่มีแผนซ้อมหนีไฟ เพียงแต่รูปแบบการหนีจะแตกต่างกันสิ้นเชิง หากเป็นการซ้อมหนีไฟทุกคนจะหนีลงจากอาคารให้เร็วที่สุด ตรงกันข้ามหากหนีสึนามิทุกคนต้องวิ่งขึ้นอาคารสูงให้เร็วที่สุด

อาคารเรียนของ ร.ร.ราชประชานุเคราะห์ 36 เป็นอาคารเรียน 3 ชั้นและ 4 ชั้น โดยชั้นสูงสุดของทั้ง 2 อาคาร จะมีการสำรองน้ำดื่มและอาหารแห้งเก็บไว้ในตู้เสบียงในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยเหลือผู้อพยพได้หลายวัน

“เมื่อเกิดแผ่นดินไหวและได้รับสัญญาณเตือนภัย โรงเรียนจะกดสัญญาณเตือนภัยให้นักเรียนอพยพขึ้นบนอาคารเรียนชั้นที่สูงที่สุด” รุ่งพรรษา ศรีภา นักเรียนชั้น ม.4 หนึ่งในทีมวางแผนอพยพนักเรียน อธิบาย พร้อมกับแจกแจงถึงรายละเอียดของการอพยพว่า แบ่งออกเป็น 3 แนวทาง คือ การอพยพระยะสั้น 30 นาที นักเรียนต้องวิ่งหนีขึ้นอาคารเรียนชั้นที่สูงที่สุด แผนอพยพระยะยาว 1 ชั่วโมง นักเรียนจะวิ่งขึ้นเนินเขายักษ์หลังโรงเรียน และแผนอพยพนักเรียนประจำ จะใช้หลักการเดียวกับแนวทางที่ 1 และ 2

ทั้งนี้ กว่าจะได้แผนอพยพฉบับนักเรียนขึ้นมา ทีมงานนักเรียนชั้นมัธยมศึกษากว่า 10 ชีวิต ได้ลงพื้นที่สำรวจเส้นทางที่ปลอดภัย ด้วยการขอข้อมูลความรู้จากผู้มีประสบการณ์และองค์กรท้องถิ่น เพื่อนำมาวางแผนเส้นทางอพยพ ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยที่จะออกให้ความรู้เกี่ยวกับการเกิดคลื่นสึนามิและการอพยพแก่คนในชุมชนและน้องๆ ที่โรงเรียน

แผนการอพยพที่ถูกคิดและกลั่นกรองด้วยเวลาเหลือเฟือ ถูกนำเสนอผ่านพรีเซนเทชั่นร่วม 1 ชั่วโมงนั้น ถ้าเกิดคลื่นยักษ์ขึ้นมาจริงๆ ความโกลาหลหลังเสียงสัญญาณเตือนภัยเป็นสิ่งที่ทีมนักวางแผนอพยพรุ่นเยาว์กังวลใจที่สุด

“กลัวเด็กๆ จะไม่เป็นระเบียบ โดยเฉพาะน้องๆ อนุบาลและประถม ที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องการเกิดภัยจากสึนามิ” รุ่งพรรษา เผยถึงความกังวล

เมื่อภัยมาถึงตัว ทุกคนมีสัญชาตญาณหนีภัย แต่เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือผิดพลาดขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้ที่ติดตัวมา

“วิ่งขึ้นที่สูง” ด.ช.อนุชา เสน่ห์ นักเรียนชั้น ป.6 ร.ร.ราชประชานุเคราะห์ 36 ตอบสั้นๆ

“ต้องวิ่งขึ้นที่สูง หรือหาต้นไม้เกาะไว้ แล้วแรงน้ำจะพาเราขึ้นต้นไม้เอง” โสมนภา บรรเทิง เจ้าหน้าที่ฝ่ายพัสดุ ผู้ผ่านประสบการณ์เฉียดตายจากคลื่นยักษ์บอก

เช่นเดียวกับเด็กๆ ร.ร.บ้านคลองประสงค์ อ.เมือง จ.กระบี่ ด้วยความที่เด็กๆ มีความคุ้นเคยกับทะเลมาตั้งแต่เกิด วันที่เกิดแผ่นดินไหวบนเกาะแห่งนี้ เด็กๆ ต่างวิ่งออกจากบ้านมาดูน้ำทะเลเหือดแห้งในชั่วพริบตาริมสันเขื่อนหน้าหมู่บ้าน ไม่กี่นาทีต่อมาคลื่นยักษ์สูงท่วมหัวก็ยกตัวขึ้นชายฝั่ง!

“หนี…” จึงเป็นเพียงสัญชาตญาณเดียวที่สั่งให้เด็กๆ และชาวบ้านรอดชีวิตจากมหันตภัยครั้งนั้นอย่างหวุดหวิด มีเพียงเรือประมงกับบ้านเรือนริมสันเขื่อนเท่านั้นที่พังยับเยิน

“ยักษ์ขึ้นมาจากทะเล ต้องวิ่งหนี” เบญจมาศ ห้างฝา นักเรียนชั้น ป.4 เล่าเหตุการณ์วันที่คลื่นสึนามิซัดเข้าหมู่บ้าน “วันนั้นแผ่นดินไหวก่อน แมวที่เลี้ยงไว้ 2 ตัว วิ่งทั่วบ้านเลย”

“วัวก็วิ่งหนีจนเชือกขาด” เด็กหญิงอีกคน พูดเสริม

แม้คลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ไม่อาจคร่าชีวิตชาวบ้านกว่า 600 ชีวิตบนเกาะแห่งนี้ได้ ทว่าทุกคนก็พร้อมใจกันอพยพย้ายออกมาอาศัยอยู่ที่ ร.ร.บ้านคลองประสงค์ ศาลาประชาคม และศาลากลางจังหวัด โดยวันที่ 25 กรกฎาคมนี้ พวกเขาก็เตรียมซ้อมแผนอพยพหนีภัยกันอย่างกระตือรือร้น โดยใช้ ร.ร.บ้านคลองประสงค์ ที่ล้อมรอบด้วยป่าโกงกางหนาทึบเป็นเสมือนปราการกันคลื่นยักษ์ตามธรรมชาติเป็นที่หลบภัย

ส่วน ร.ร.บ้านน้ำเค็ม ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ซึ่งอยู่ห่างจากทะเล 500 เมตร และเคยได้รับผลกระทบหนักที่สุด มีนักเรียนเสียชีวิต 27 คน สูญหาย 12 คน และอีก 386 คนได้รับผลกระทบ โรงเรียนเสียหาย 80% ก็ร่วมวางแผนซักซ้อมหนีภัยด้วย

“เส้นทางหนีภัยแบ่งเป็น 5 โซน ชาวบ้านจะอพยพมาอยู่ที่โรงเรียนและวัด” ด.ญ.มณีรัตน์ อินทร์ชุม นักเรียนชั้น ป.5 และทีมงานนำเสนอแผนอพยพ

แผนการอพยพของ ร.ร.บ้านน้ำเค็ม มีสิ่งที่น่ากังวลหลายอย่าง ทั้งเรื่องเส้นทางจากชุมชนมายังโรงเรียนและวัด มีระยะทางร่วม 2 กิโลเมตร ขณะที่ชุมชนส่วนใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่ริมชายฝั่งทะเล ซึ่งน่าจะมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าการอพยพ ขณะเดียวกันองค์ความรู้เรื่องการเกิดสึนามิและการป้องกันภัยสึนามิในชุมชนหรือโรงเรียนกลับมีน้อยมาก

“???” หนึ่งในนักเรียนที่นำเสนอแผนการอพยพอ้ำอึ้งกับคำตอบ เมื่อถูกถามว่า เคยเล่าเรื่องการเกิดสึนามิให้พ่อแม่หรือคนในชุมชนฟังหรือไม่

แล้วการซ้อมใหญ่วันที่ 25 กรกฎาคมนี้ จะเหมือนการซ้อมที่ผ่านๆ มาหรือไม่?

ต้องรอลุ้นกันอีกที…!??

เสียงไซเรนจากหอเตือนภัยสึนามิดังขึ้นอีกครั้ง

โปรดทราบๆ ขณะนี้สถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว ขอให้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่อไป‘ เสียงตามสายประกาศซ้ำอีกครั้ง

หากคำประกาศข้างต้นไม่ใช่การซักซ้อมเหมือนที่ผ่านๆ มา ลองเดาดูสิว่าจะมีคนบาดเจ็บและคนตายกี่คน?


เตือนภัยทั่วโลกไม่มีที่ไหนแม่นยำ 100%

หลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เหนือเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย วัดความรุนแรงได้ 9 ริคเตอร์ ทำให้เกิดพลังงานคลื่นทั่วมหาสมุทรอินเดีย เมื่อกระทบชายฝั่งจึงก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สูงร่วม 10 เมตร กวาดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว หรือไม่มีสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า

แต่วินาทีนี้…เมืองไทยมีระบบเตือนภัยล่วงหน้า ที่ได้รับการยอมรับจากองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO/IOC) จัดให้ประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์สูงสุดจาก 16 ประเทศในเอเชีย เพียงแค่ปรับปรุงด้านความรู้การเตือนภัยแก่หน่วยงานและประชาชน ตลอดจนสร้างความพร้อมเผชิญภัยและอพยพหนีภัยให้มากขึ้นเท่านั้น

“ความน่าเชื่อถือของหอเตือนภัยสึนามิเป็นสิ่งสำคัญ ในต่างประเทศมีการประกาศเตือนภัย 10 ครั้ง ถูกแค่ 3 ครั้ง ชาวบ้านก็เข้าใจ แต่คนไทยถ้าไม่เกิดก็จะมาต่อว่าผมได้ แต่เกิดขึ้นจริงๆ ก็อาจไม่มีสิทธิมาต่อว่าผมได้ เพราะท่านตายไปแล้ว” ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (กอช.) เตือน

ดร.สมิทธ ย้ำว่า การเตือนภัยทั่วโลกไม่มีที่ไหนถูกต้องแม่นยำ 100% อย่าดูถูกภัยธรรมชาติ เพราะมนุษย์ไม่มีสิทธิกำหนดได้ อยากให้เชื่อการแจ้งเตือนภัยของศูนย์ฯ ไว้ก่อน

อย่างไรก็ตาม ดร.สมิทธ บอกว่า การซ้อมใหญ่นี้ก็เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของระบบเตือนภัยและการอพยพคน ถ้าไม่มีผลเป็นบวกนักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะไม่มั่นใจและไม่มาเที่ยวเมืองไทย อย่างไรก็ตาม การซ้อมครั้งนี้เป็นการซ้อมระดับภูมิภาค จะมี 40 องค์กรจากต่างประเทศในคาบมหาสมุทรอินเดียมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย เพื่อนำเอาการฝึกซ้อมไปเป็นตัวอย่าง เพราะในอนาคตภัยธรรมชาติสึนามิมีโอกาสเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน

ด้าน ดร.เชิดศักดิ์ วีระพัฒน์ ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการโครงการและแผนกลยุทธ์ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ประเมินว่าการซ้อมใหญ่คราวนี้น่าจะผ่านเกณฑ์ เชื่อว่านักเรียนและประชาชนจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

“ที่ผ่านมาเคยแจ้งเตือนภัยไปยังจังหวัดแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจและไม่มีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยง ถ้ามันเกิดจริงๆ ผมว่ามันยุ่ง” ดร.เชิดศักดิ์ บอก

เหนือสิ่งอื่นใด…ถ้า ‘ความรู้‘ เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในการมีชีวิตรอดจากภัยพิบัติต่างๆ การลงไปให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง ดร.เชิดศักดิ์ จึงเสนอโครงการสร้างองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ เพื่อสร้างจิตสำนึกป้องกันและลดความเสี่ยงภัย และการมีส่วนร่วมของชุมชนแก่องค์กรต่างประเทศ ได้รับงบประมาณมา 20 ล้านบาท

“จัดประชุมไปแล้ว 4 ครั้ง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและลงพื้นที่จัดทำแผนอพยพหนีภัย เราต้องเข้าไปให้ความรู้เบื้องต้นกับนักเรียนและชุมชน บางโรงเรียนก็ให้ความสนใจ บางโรงเรียนก็ไม่ค่อยสนใจ หลังจากวันที่ 25 กรกฎาคมนี้ เราจะได้รู้ว่าต้องปรับปรุงแก้ไขตรงไหนบ้าง และอาจมีการซ้อมกันอีกครั้งในวันที่ 26 ธันวาคมนี้” ดร.เชิดศักดิ์ สรุป

“เราต้องให้ความรู้เรื่องการเกิดคลื่นสึนามิกับประชาชนมากๆ เพราะบางครั้งการเกิดคลื่นสึนามิอาจมีเวลาเตรียมตัวไม่มากพอเหมือนที่วางแผนอพยพกันไว้” รศ.อัปสรสุดา ศิริพงศ์ ที่ปรึกษาด้านสมุทรศาสตร์และสึนามิ จากภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมให้ข้อคิด

รู้จักภัยแผ่นดินไหว

หลังจากเกิดแผ่นดินไหวที่มีระดับความรุนแรงตั้งแต่ 6 ริคเตอร์ขึ้นไป อาจก่อให้เกิดผลกระทบดังนี้

– ภัยจากการสั่นไหวของพื้นดิน ทำให้เกิดการพังทลายของดินและโคลน และดินกลายสภาพเป็นของเหลว

– ภัยจากการยกตัวของพื้นดินในบริเวณรอยเลื่อน

– ภัยที่เกิดจากคลื่นใต้น้ำ (Tsunami) ซึ่งคลื่นชนิดนี้เกิดขึ้นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในทะเลและมหาสมุทร ทำให้เกิดน้ำท่วมบริเวณชายฝั่ง

– ภัยจากไฟไหม้หลังการเกิดแผ่นดินไหว

Share the Post: