จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันเสาร์ ที่ 27 กันยายน 2551
ในประดาผู้ค้นหาชีวิตสุขนิยมในโลกที่เป็นส่วนตัวแล้ว การได้พักผ่อนบนเกาะสักแห่งหนึ่งแห่งใดบนโลก แบบที่ไม่ต้องคิดเรื่องงาน ไม่ต้องเปิดรับข่าวสาร รวมถึงมีเวลาได้มองท้องฟ้า ทะเลสีคราม และทอดกายลงบนหาดทรายขาวราวกับหยุดโลกทั้งโลกไว้ได้ ก็น่าจะอิ่มเอม เป็นการเติมพลังให้กับชีวิตได้ไม่น้อย
“มาดีวารู – Madivaru” เกาะเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่กลางมหาสมุทรอินเดีย ในเขตประเทศมัลดีฟส์ (Maldives) ได้มีโอกาสต้อนรับนักเดินทางผู้โชคดี 12 คน ที่มาจากที่ต่างๆกัน หนึ่งในจำนวนนั้นมี คุณออย อิทธิกุล ผู้ทำให้ความฝันของใครหลายๆคน ในแคมเปญ ชีวาสไลฟ์ ชีวิตเหนือระดับ เป็นจริง ร่วมเดินทางไปด้วย
ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิราว 5 โมงเย็น ประมาณเกือบ 5 ทุ่ม เราก็ไปถึงเมืองมาเล่ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศมัลดีฟส์ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลกก็ว่าได้ ไม่ต้องพูดถึงพื้นที่ของเมือง เอาเป็นว่า ขับรถรอบเกาะซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองมาเล่ ระยะทางเพียงแค่ 5 กิโลเมตรเท่านั้น (ใครที่เคยบอกว่าสิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆ ขับรถแค่ชั่วโมงเดียวก็รอบเกาะแล้ว ลองมาที่มาเล่ดู แค่อึดใจเดียวก็เที่ยวรอบเกาะแล้วเหมือนกัน)
พักผ่อนเตรียมพร้อมเพื่อก้าวสู่ชีวิตเหนือระดับกัน 1 คืน ก่อนจะเหินฟ้าด้วยเครื่องบินน้ำหรือ Sea Plane มุ่งหน้าสู่เกาะมาดีวารูในตอนเช้า
บนเครื่อง Sea Plane พวกเราตื่นเต้นกันมากกับลากูนขนาดใหญ่เป็น วงๆกลางมหาสมุทร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า อะตอล หรือโครงสร้างของซากปะการังที่ทับถมกัน ในเขตน้ำตื้นกลางทะเลที่มาจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก มีรูปร่างคล้ายวงแหวน จึงเรียกว่า ลากูน ซึ่งจากบนเครื่องบินเราสามารถถ่ายภาพลากูนที่เป็นวง สีฟ้าอ่อน ตัดกับสีน้ำเงินเข้มของมหาสมุทรสวยงามมากๆ
เพียง 20 นาที เครื่องบิน Sea Plane ก็ landing ลงสู่มหาสมุทร อินเดีย ก่อนจะเคลื่อนเข้าไปจอดเทียบ สนามบินที่เล็กที่สุดในโลก ที่ตั้งอยู่ ห่างเกาะราว 1 กิโลเมตร จากนั้น สปีดโบ๊ทลำเล็กก็พาพวกเราเข้าสู่เกาะมาดีวารู
ฉลามตัวเขื่องพร้อมครอบครัวของมัน ถึง 6 ตัว ว่ายน้ำมาต้อนรับพวกเราใต้สะพานไม้ ที่เป็นทางเชื่อมเข้าสู่ที่พัก เช่นเดียวกับบรรดาปูเสฉวน ปลาเข็มทะเล ที่ต่างพากันมาอออยู่ใต้ สะพานตอนที่เรือเข้าจอด พวกเราหลายคนตื่นเต้นกันมากกับความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเราได้มีโอกาสมาสัมผัส
บนเนื้อที่ไม่ถึง 2 ตารางกิโลเมตร ถูกแบ่งออกเป็นกระโจมที่พักทั้งหมด 6 กระโจม ทุกกระโจมมีสระว่ายน้ำส่วนตัวพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ไม่รอช้า หลายคนลงมือเก็บภาพความประทับใจของที่พัก บนเกาะมาดีวารู แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอ่างอาบน้ำสไตล์ โมเดิร์น รวมถึง Outdoor Shower ที่อาบน้ำท่ามกลางแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ แบบโรแมนติกสุดๆ
ตกบ่าย ทุกคนลงเล่นน้ำที่ชายหาดกันอย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่ได้นัดหมายกัน เพราะการมาเที่ยวเกาะคงไม่มีอะไรดี ไปกว่าการได้สัมผัสกับน้ำทะเล ใส สวย และหาดทรายที่ต้อง บอกว่า ขาวจริงๆ แบบนี้
เสน่ห์อย่างหนึ่งของที่นี่ คือ ปะการังน้ำตื้น ที่เพียงแค่ ลอยตัวเหนือน้ำ ดำสน็อกเกิ้ล ออกไปไม่ไกลจากฝั่งมากนัก ก็สามารถมองเห็นปะการังรูปร่างแปลกๆได้ไม่ยาก เช่น ปะการังที่มีรูปร่างเหมือนสมอง คน และปะการังกิ่งที่เหมือนกับต้นไม้เล็กๆ จำนวนมาก
ฝนเริ่มปรอยเม็ดลงมาในช่วงก่อนค่ำ อาหารค่ำมื้อแรกเป็นเมนูเบาๆสบายๆ มีทั้งเนื้อ ปลา และกุ้ง หลายคนอดไม่ไหวที่จะต้องขอดื่มชีวาส on the rock ตามคำแนะนำของ คุณออย ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มความอร่อยให้กับ อาหารมื้อค่ำบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
วันรุ่งขึ้น เรามีแผนจะไปดำน้ำดูปะการังกันที่เกาะมายาฟูจี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาะมาดีวารูมากนัก นั่งเรือใบสองเสาที่ชื่อว่า “มาดี 3” ซึ่งเป็นเรือใบขนาดใหญ่ที่เคยใช้ในสมัยโจรสลัดจริงๆ นำมาปรับปรุงเป็นเรือสำราญ ประมาณ 30 นาที จากนั้นลงเรือยาง เข้าไปที่ สันทราย (Sand Bank) กลางมหาสมุทร โอ้ ว้าว! ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆว่า นี่เรากำลังอยู่กลางมหาสมุทรอินเดียอันกว้างใหญ่ไพศาล โดยมีสันทรายขาวทอดยาว มหัศจรรย์จริงๆ
ปะการังที่นี่สีอาจจะไม่สวยเท่ากับปะการังในบ้านเรา แต่ยังมีความสมบูรณ์อยู่มาก อย่างหนึ่งคือ คนเรือ และนักท่องเที่ยวไม่นิยมทิ้งสมอเหล็กเพื่อจอดเรือ แต่จะใช้สมอทุ่นลอยเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติมากกว่า
พวกเราสนุกสนานกับการดำน้ำดูปะการังและปลาสีสวยๆ จนลืมเวลาและความร้อนที่เริ่มแผดเผา น้องโบ้ หนึ่งในคณะของเราสามารถถ่ายรูป ต้นไม้ทะเลสีสด และ ปลานีโม น่ารักสุดๆได้ ทำให้ทุกคนตื่นเต้นมาก นอกจากการได้เห็นปลานกแก้วสีสวย ปลาดุกทะเล และปลิงทะเลตัวใหญ่ที่ชวนให้ขนลุกแล้ว
ช่วงเย็น พวกเราจัดงานปาร์ตี้ชายหาดกันที่ท้ายเกาะ ซึ่งเป็นสันทรายขนาดใหญ่ ทอดยาวออกไปในมหาสมุทร มีการแสดงดนตรีที่เรียกว่า “โบดูเบรู” BODUBERU ซึ่งเป็นดนตรีพื้นเมืองของมัลดีฟส์ ก่อนจะต่อด้วยบาร์บีคิวที่มีทั้งเนื้อ และปลา (ไม่มีหมู เพราะเมืองนี้ เขาเป็นมุสลิม) กินกับสลัดมะละกอ (ส้มตำนั่นเอง) อร่อยอย่าบอกใคร และเพื่อเพิ่มรสชาติของการดื่มให้เป็นชีวิตเหนือระดับจริงๆ คุณออยจึงสั่งล็อบสเตอร์มาอีก 4 ตัว เพื่อเพิ่มสีสันบรรยากาศให้อบอุ่นและสนุกสนานมากขึ้น
ตกดึก ทั้งคนเมาและคนไม่เมา ต่างพากันทอดกายบนสะพานไม้ มองดูดาวที่ระยิบระยับเต็มท้องฟ้าที่มืดสนิท
ท้องฟ้าที่หลายคนมักคิดว่าความสวยอยู่ที่สีฟ้าครามใส แต่สำหรับค่ำคืนอันอบอุ่นเช่นนี้แล้ว ความมืด มิดของท้องฟ้าสีดำสนิท กลับช่วยขับให้แสงของดาวประกายพรึกและดาวดวงอื่นๆ นับร้อยนับพันดวงดูสดใสแจ่มชัดกว่าที่ไหนๆในโลก
กลับจากมาดีวารูคราวนี้ บอกกับตัวเองว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต ได้มีโอกาสหยุดโลก…หยุดเวลา เพื่อหาความสุขให้กับชีวิตขนาดนี้ ถึงจะตายก็ไม่เสียดายอะไรอีกแล้ว
ลาก่อน “มาดีวารู” เกาะสวรรค์…ฉันรักเธอ!
“วันวิสาข์ ชูชนม์“