marinerthai

กำเนิด“มารีน่า เบย์ แซนด์ส”สิงคโปร์ยุทธศาสตร์ชิงเจ้าตลาดไมซ์ & คาสิโน

จาก ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์  วันที่ 5 มีนาคม 2553

การแข่งขันในตลาดไมซ์ (Meeting Incentive Convention and Exhibition)หรือตลาดจัดประชุมสัมมนาในภูมิภาคเอเชียเดือดขึ้นมาอีกระลอก หลังจากสิงคโปร์เตรียมเปิดโครงการ มารีน่า เบย์ แซนด์ส ซึ่งเป็น Intergrated luxury resort ที่มีความครบครันไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ศูนย์การค้า ร้านอาหาร ห้องประชุมสัมมนา พิพิธภัณฑ์ และที่เป็นไฮไลท์ที่น่าจะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามายังสิงคโปร์มากขึ้นก็คือ คาสิโน ซึ่งในเฟสแรกที่จะเปิดตัวคือวันที่ 27 เมษายนนี้ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวไหลเข้ามาสู่สิงคโปร์และส่งผลให้ตัวเลขของนักท่องเที่ยวขยับโตขึ้นมาเป็นเท่าตัวในปีนี้

ในที่สุดโครงการที่มีการลงทุนสูงสุดในประวัติศาสตร์สิงคโปร์อย่าง มารีน่า เบย์ แซนด์ส ที่ใช้เงินลงทุนสูงถึง 5,250 ล้านเหรียญสิงคโปร์ก็เตรียมที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 เมษายนนี้ โดยเป็นการเปิดตัวในเฟสแรก หลังจากที่ต้องล่าช้าตามแผนเดิมไปหลายเดือน ซึ่งในครั้งนี้จะเป็นการเปิดบริการบางส่วน เริ่มตั้งแต่โรงแรม คาดว่าจะเปิดห้องพักจำนวน 950 ห้อง ,ศูนย์การค้า ,คาสิโน และศูนย์ประชุม

ขณะที่เฟส 2 ที่คาดว่าจะเป็นเดือน มิถุนายน – กรกฎาคม จะทำการเปิดบริการส่วนของโรงแรมทั้งหมด รวมไปถึง SANDS SKYPARK™ หรือสวนลอย ร้านอาหาร และศูนย์การค้าทั้งหมด ส่วนในเฟส 3 ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายที่จะเปิดให้บริการคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเดือนตุลาคม – ธันวาคม โดยในส่วนนี้จะเป็นการเปิดบริการของพิพิธภัณฑ์ และ โรงละคร และหลังจากที่โครงการทั้งหมดสามารถเปิดให้บริการได้ คาดว่าจะมีผู้เข้ามาใช้บริการในเริ่มแรกเฉลี่ยวันละ 60,000-80,000 คน และจะส่งให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังสิงคโปร์เพิ่มขึ้น จากเดิมในปีที่ผ่านมาที่มี 9.7 ล้านคน ก็จะเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัวคือ 17 ล้านคน

ปัจจัยที่ทำให้มารีน่า เบย์ แซนด์ส มั่นใจว่าจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้ามายังสิงคโปร์ได้นั้น มาจากประสบการณ์ของผู้ลงทุนอย่าง ลาสเวกัส แซนด์ส คอร์ป หรือที่รู้จักกันดีในนามของกลุ่มผู้พัฒนารีสอร์ทแบบครบวงจรชั้นนำของเอเชียอย่าง เวเนเชียน มาเก๊า และผู้นำกลุ่มอุตสาหกรรม MICEในอเมริกาฯ ที่เล็งเห็นช่องว่างในตลาดอาเซียนและเอเชีย ประกอบกับการที่รัฐบาลของสิงคโปร์มีแนวทางในการอนุญาตให้เปิดธุรกิจคาสิโนได้ ก็ทำให้โปรเจคดังกล่าวเป็นเรือธงแห่งความหวังที่จะทำให้นักท่องเที่ยวทยอยเข้ามาในสิงคโปร์มากขึ้น

โดยมารีน่า เบย์ แซนด์ส เริ่มเคาะโครงการตั้งแต่ปลายปี 2549 และมีการพัฒนา ก่อสร้าง และวางตำแหน่งไว้ที่การเป็น Intergrated luxury resort ซึ่งหมายถึงเป็นศูนย์กลางการให้บริการอย่างครบวงจร ซึ่งโครงการดังกล่าวถูกออกแบบโดย MOSHE SAFDIE สถาปนิกระดับโลก และมีส่วนให้บริการคือโรงแรม,ศูนย์การค้า,คาสิโน,โรงละคร,ศูนย์ประชุม และพิพิธภัณฑ์

แม้จะถูกวางตำแหน่งให้เป็น Intergrated luxury resort แต่เมื่อมองไปที่เป้าหมายหลักๆของมารีน่า เบย์ แซนด์ส ที่มีการลงทุนในครั้งนี้ น่าจะอยู่ที่ การเป็นฮับของตลาดไมซ์ของเอเชีย รวมไปถึงการเป็นศูนย์กลางคาสิโนแห่งเอเชีย โดยในส่วนของตลาดไมซ์นั้น มีการลงทุนสร้าง SANDS EXPO & CONVENTION CENTRE ที่มีห้องบอลรูมใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีพื้นที่ 8,000 ตารางเมตร สามารถจุคนได้ 6,600 คน ,มีห้องประชุมแบบบรรยาย จุคนได้ 11,000 คน นอกจากนั้นแล้วยังสามารถกั้นออกเป็นห้องเล็ก 16 ห้อง ส่วนพื้นที่ศูนย์การประชุมมีเนื้อที่รวมกว่า 120,000 ตารางเมตร หรือ 1.3 ล้านตารางฟุต มีพื้นที่แสดงนิทรรศการและการประชุมรวมห้าชั้น มีบูธนิทรรศการ 2,000 บูธ และห้องประชุม 250 ห้องรับแขกได้ 45,000 คน

ส่วนลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของตลาดไมซ์สำหรับมารีน่า เบย์ แซนด์ส นั้นเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การแพทย์ เภสัชศาสตร์ การเงิน ไอที โทรคมนาคม โลจิสติก รวมไปถึงกลุ่มที่มีแนวโน้มน่าสนใจที่จะเข้ามาใช้บริการคือ กลุ่มอุตสาหกรรมด้านรักษาความปลอดภัย วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต การแพทย์ ไอที สื่อสารมวลชน การสื่อสาร สินค้าสำหรับผู้บริโภคระดับหรูหรา

โดยในเริ่มแรกของการรุกตลาดไมซ์ พบว่ามารีน่า เบย์ แซนด์ส สามารถที่จะหากลุ่มลูกค้าได้ แม้ว่าโครงการจะยังไม่เสร็จและยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยพบว่า มีลูกค้าเช่าพื้นที่ในการจัดงานมากกว่า 20 งาน อาทิ ในเดือน พ.ค.ที่จะถึงนี้ จะมีงาน IPBA 2010 ที่จะมีอัลกอร์ อดีตรองประธานาธิบดีของอเมริกามาเป็นองค์ปาฐกในงาน ซึ่งผลการตอบรับที่ดี ทำให้มารีน่า เบย์ แซนด์ส เตรียมแผนรองรับกลุ่มลูกค้าที่คาดว่าจะเข้ามาเพิ่มกว่า 100 งานในช่วงระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า โดยได้มีการจัดตั้งทีมการตลาดในแต่ละประเทศ อาทิ ในไทย หรือมาเลเซีย ที่จะทำหน้าที่ให้ข้อมูล ขาย และรับจอง นอกจากนั้นแล้วกลยุทธ์ที่เป็นปากต่อปาก จะเป็นส่วนสำคัญที่จะผลักดันให้ทุกส่วนของโครงการนี้ประสบความสำเร็จ

มารีน่า เบย์ แซนด์ส เชื่อว่าจุดแข็งที่จะสนับสนุนให้ลูกค้าของตลาดไมซ์เลือกพวกเขาคือ การมีบริการครบวงจรอยู่ภายในโครงการ ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นๆในภูมิภาค ที่ไม่มีโครงการลักษณะดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เป็นแม่เหล็กสำคัญที่สุดที่จะทำให้มารีน่า เบย์ แซนด์ส เหนือกว่าคู่แข่งอื่นก็คือ การมีคาสิโน ที่เป็นคอมเพล็กขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย โดยในส่วนคาสิโนจะมีทั้งที่เปิดบริการทั่วไป และส่วนที่พิเศษที่เจาะกลุ่มไฮเอนด์ หรือที่เรียกว่า Paiza Club

โดยคาสิโนแห่งนี้นอกจากจะเป็นแม่เหล็กใหม่สำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว ข้อมูลจากการวิเคราะห์ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มองว่า ปัจจุบันชาวสิงคโปร์มีการนำเงินไปเล่นการพนันในประเทศต่างๆอาทิ มาเลเซีย มาเก๊า ลาสเวกัส มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี คาดว่าหลังจากที่โครงการมารีน่า เบย์ แซนด์ส เปิดให้บริการในส่วนนี้จะทำให้ชาวเม็ดเงินไม่ไหลออกนอกประเทศ

ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนอื่นๆที่จะช่วยให้มารีน่า เบย์ แซนด์ส เป็นตัวเลือกของนักท่องเที่ยวก็คือโรงแรมที่มีห้องพักกว่า 2,500 ห้องและรูปทรงการออกแบบเป็นตึกขนาดใหญ่ 3 ตึกเรียงกัน ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ ส่วนพื้นที่ด้านบนที่เรียกว่า SANDS SKYPARK™ หรือสวนลอยฟ้าเป็นตัวเชื่อมทั้ง 3 ตึก โดยSANDS SKYPARK™ ที่มีความยาวถึง 340 เมตร สามารถจอดเครื่องบินจัมโบ้ A380 ได้ถึงสี่เครื่อง ซึ่งยาวกว่าความสูงของหอไอเฟล และพื้นที่ด้านบนก็ได้เนรมิตให้เป็นจุดขายของตึกแห่งนี้ โดยรวบรวมเอาร้านอาหาร บาร์ เลานจ์ สวนสาธารณะ รวมไปถึงสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นวิวของย่านมาริน่า เบย์ ได้สูงสุด

ส่วนโซนศูนย์การค้า ก็มีการรวบรวมเอาแบรนด์เนมมากมายไม่ว่าจะเป็น LOUIS VUITTON ที่มีการออกแบบร้าน “ ISLAND” ให้อยู่ใน CRYSTAL PAVILIONS ที่ถูกออกแบบและสร้างลอยน้ำ ขณะที่ร้านค้าอื่นๆนั้นจะมารวมกับในพลาซ่าด้านใน ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็เป็นที่รู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็น BULGARI, BURBERRY, CARTIER, CHANEL, FRANCK MULLER, GUCCI, HERMÈS,HUGO BOSS, LOUIS VUITTON,OMEGA, PATEK PHILIPPE, PRADA, TIFFANY & CO. และ YVES SAINT LAURENT

ด้าน MARINA BAY SANDS THEATERS ซึ่งเป็นโรงละครขนาดใหญ่ ที่แบ่งออกเป็น 2 โรงจุจำนวนคนได้ 4,000 คนก็จะเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กที่จะดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบการชมละครเวทีได้เข้ามาที่นี่ นอกจากนั้นแล้วก็จะมีพิพิธภัณฑ์ที่จะรวบรวมเอาศิลปะจากทุกมุมโลกมาแสดง

โทมัส อาราสิ ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหาร บริษัท มารีน่า เบย์ แซนด์ส จำกัด กล่าวว่า โครงการที่ใกล้จะแล้วเสร็จนี้ จะช่วยผลักดันให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังสิงคโปร์ในปีที่ผ่านมา 9.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวคือ 17 ล้านคน โดยมารีน่า เบย์ แซนด์ส จะดึงเอากลุ่มเป้าหมายที่เป็นตลาดไมซ์ ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ที่สร้างมูลค่ามหาศาล รวมไปถึงนักท่องเที่ยวทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ กลุ่มครอบครัวจากประเทศในอาเซียนทั้งหมด รวมไปถึงตลาดเอเชีย อย่างจีน อินเดีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และ อเมริกา ให้เข้ามาใช้บริการ เพราะโครงการมีรูปแบบของส่วนต่างๆไว้รองรับไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัว

เรียกได้ว่าเป็นการเดิมพันสูงสำหรับมารีน่า เบย์ แซนด์ส รวมไปถึงสิงคโปร์ ที่วางเป้าหมายใหญ่ด้วยการเป็นผู้นำในตลาดไมซ์ งานนี้ประเทศไทยคงต้องทำการบ้านกันอย่างหนักอีกระลอก เพราะหากประมาทเมื่อไร มีหวังสิงคโปร์ทำได้ตามที่วางไว้อย่างแน่นอน….

รีสอร์ท เวิร์ล เซ็นโตซ่า ผู้ท้าชิงร่วมชาติ

ใช่ว่าจะมีเพียงแต่ มารีน่า เบย์ แซนด์ส ที่จะเป็นแม่เหล็กตัวใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่สิงคโปร์ยังมีโครงการยักษ์ใหญ่อีกหนึ่งที่เพิ่งจะแล้วเสร็จไปและเริ่มเปิดให้บริการบางส่วน นั่นก็คือ รีสอร์ท เวิร์ล เซ็นโตซ่า ที่มีการลงทุนผ่าน กลุ่มเก็นติ้ง กรุ๊ป จากประเทศมาเลเซีย ซึ่งโครงการนี้มีการลงทุนด้วยเม็ดเงินที่สูงไม่แตกต่างจากมารีน่า เบย์ แซนดส์ สักเท่าไร แต่ที่เป็นไฮไลท์ที่แตกต่างของที่นี่กับของคู่แข่งขันร่วมชาติ คือ สวนสนุก ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์ สำหรับสวนสนุกแห่งใหม่นี้ ถือว่าใหญ่ที่สุดในแง่เครื่องเล่น โดยมีเครื่องเล่นทั้งหมด 24 ชนิดและ18 ชนิดเป็นเครื่องเล่นใหม่ที่มีเฉพาะในสิงคโปร์เท่านั้น

ขณะที่ความเหมือนของทั้ง 2 โครงการอภิมหาโปรเจคในครั้งนี้คือ คาสิโน โดยรีสอร์ท เวิร์ล เซ็นโตซ่า ชูจุดเด่นด้วยบริการที่ครบครันไม่แตกต่างจากมารีน่า เบย์ แซนด์ส พร้อมทั้งสามารถรองรับคนได้กว่า 20,000 คนต่อวัน ส่วนอื่นๆที่ให้บริการก็จะมีโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวจำนวน 6 แห่ง รวมไปถึงห้องประชุมและจัดเลี้ยง ร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำ พิพิธภัณฑ์สัตว์ทะเล (Oceanarium) และ พิพิธภัณฑ์การเดินเรือสมัยโบราณ ซึ่งบางส่วนได้เปิดให้บริการแล้ว และคาดว่าจะเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบได้ในช่วงปลายปีนี้ หรือ ต้นปีหน้า

เรียกได้ว่าขับเคี่ยวกันมาตลอดสำหรับทั้ง 2 โครงการใหญ่จากประเทศสิงคโปร์ ที่แม้จะมีการบริการที่แตกต่างกัน แต่ภาพรวมปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มครอบครัว ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของทั้ง 2 แห่ง ย่อมจะต้องมีการแย่งชิงจังหวะกันอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผลประโยชน์จากการแข่งขันในครั้งนี้ก็ยังตกเป็นของประเทศสิงคโปร์ที่จะได้รายได้รวมไปถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น งานนี้ก็คงต้องหันกลับมาดูประเทศไทยของเรากันว่า จะมีการแก้เกมรุกครั้งนี้ของสิงคโปร์อย่างไร

Share the Post: