marinerthai

พักยก…ไปตามหาเรือโนอาห์

จาก หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์  วันที่ 4 พฤษภาคม 2553

ท่านขุนน้อย

มาถึงขั้นนี้…เห็นทีคงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องทะลุออกไปนอกโลก นอกจักรวาล กันบ้างแล้ว เนื่องจากถ้าหากยังคงวนไป วนมา อยู่กับเรื่องของบ้านเมือง ยังไงๆ ก็คงอดไม่ไหวที่จะต้องละลาบ ละล้วง จ้วงจาบ ไล่จิก ไล่ด่า ตั้งแต่ท่านนายกรัฐมนตรี ลงมายันถึงมนุษย์พันธุ์พิเศษอย่างผู้บัญชาการทหารบก ผู้ซึ่งสามารถอยู่เฉยๆ เบิ่งตาดูฟ้าถล่ม ดินทลายโดยไม่ได้คิดจะขยับเขยื้อนอะไรเลย ปานประดุจอวัยวะทุกๆ ส่วนในร่างกาย ได้แปรสภาพเป็น สากกะเบือ ทั้งแท่งไปเรียบร้อยแล้ว…

เอาเป็นว่า…เพื่อไม่ให้ต้องเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง วันนี้ลองเตลิดเปิดเปิงหันไป ตามหาเรือโนอาห์ กันดีกว่า อันเนื่องมาจาก ข่าวคราวที่รายงานโดยสำนักข่าวต่างประเทศในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และเว็บไซต์ คมชัดลึก ได้นำมาถ่ายทอดเอาไว้แต่เพียงสั้นๆ โดยระบุว่าคณะสำรวจชาวฮ่องกงและชาวตุรกีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าประกอบไปด้วยใครต่อใครกันบ้าง แต่อ้างว่าสามารถค้นพบ ซากเรือโนอาห์ ที่ถูกเล่าขานเป็นตำนานปรัมปราเอาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล ว่าด้วยเหตุการณ์น้ำท่วมโลกเมื่อยุคอดีตบริเวณพื้นที่เทือกเขา อารารัต อันมีที่ตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนประเทศตุรกีและประเทศอิหร่านในทุกวันนี้…

สำหรับตำนานเรื่องเรือโนอาห์ในพระคัมภีร์ไบเบิลนั้น…โดยสรุปคร่าวๆ ก็คงประมาณว่า ในยุคอดีตอันไกลโพ้นซึ่งจะเป็นช่วงไหนก็มิอาจสรุปได้โดยชัดเจน พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลก และสร้างมนุษย์ขึ้นมา จู่ๆ ก็ทรงบังเกิดความเศร้าเสียใจแบบสุดๆ เพราะรู้สึกว่ามนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้น นับวันจะเป็นอะไรที่ชั่วร้าย เลวทราม อาจพอๆ กับมนุษย์ในยุคนี้หรือไม่? เพียงใด? ก็มิอาจทราบได้ หรือ ทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์ มีมากมายบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องร้ายเสมอไป พระองค์จึงตัดสินใจ ที่จะกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก ด้วยการทำให้น้ำท่วมโลก ยกเว้นแต่ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า โนอาห์ เท่านั้น ที่พระองค์ยังเห็นว่าเป็นผู้ประพฤติดี มีศีลธรรม เป็นที่โปรดปรานในสายตาของพระเจ้า จึงทรงมาบอกให้ โนอาห์ ต่อเรือขึ้นมา เพื่อนำพาตัวเอง และครอบครัว ตลอดไปจนฝูงสิงสาราสัตว์เข้าไปอยู่ในเรือ ก่อนจะดลบันดาลให้น้ำท่วมโลกทั้งโลก…

ลักษณะเรือของโนอาห์ ซึ่งสร้างขึ้นมาตามคำแนะนำของพระเจ้า ถูกบรรยายเอาไว้ดังนี้ เจ้าจงต่อนาวาด้วยไม้สนโกเฟอร์ แล้วทำเป็นห้องๆ และยาชันทั้งข้างใน ข้างนอก จงต่อนาวาตามแบบนี้คือ ยาวสามร้อยศอก กว้างห้าสิบศอก สูงสามสิบศอก จงทำช่องข้างบนนาวาให้สูงศอกหนึ่ง จงตั้งประตูนาวาที่ด้านข้าง และทำดาดฟ้าที่ชั้นล่าง ชั้นที่สอง และชั้นที่สาม และด้วยเรือลำนี้นี่เอง ที่นำพาโนอาห์ ครอบครัว ตลอดไปจนถึงฝูงสัตว์ชนิดต่างๆ ลอยเท้งเต้งไปในช่วงตลอดระยะเวลา 150 วันระหว่างที่เกิดน้ำท่วม จนเมื่อถึง ณ วันที่สิบเจ็ดของเดือนที่เจ็ด นาวาก็ค้างอยู่บนเทือกเขาอารารัต และน้ำนั้นก็ลดลงเรื่อยไปจนถึงเดือนที่สิบ ยอดภูเขาก็โผล่ขึ้นมา

ตำนานเรื่องนี้จะมีเค้าโครงความจริงหรือไม่? อย่างไร? ก็ยากที่จะพิสูจน์ได้ชัดๆ แต่พอจะเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า เรื่องราวว่าด้วยเหตุการณ์น้ำท่วมโลกในยุคอดีตนั้น เป็นเรื่องที่มักถูกนำมาเล่าขานในทุกๆ สังคม หรือทุกๆ อารยธรรม โดยเฉพาะในอารยธรรมสุเมเรียน อันถือเป็นอารยธรรมเริ่มแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์ ก็มีเรื่องราวที่ถอดแบบกันมา ในชนิดแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกันกับเรื่องราวของเรือโนอาห์ ซึ่งได้ถูกบันทึกเอาไว้ใน มหากาพย์กิลกาเมช เพียงแต่ชื่อของตัวละคอน อาจจะแตกต่างกันไปตามลักษณะภาษา…

อย่างไรก็ตาม…ข่าวคราวการค้นพบซากเรือโนอาห์ในพื้นที่ที่เรียกกันว่าภูเขา อารารัต นั้น อันที่จริงก็ไม่ได้เพิ่งจะมาเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เพราะตั้งแต่เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว หรือเมื่อประมาณปี ค.ศ.1959 เคยมีนายทหารชาวตุรกีรายหนึ่ง ชื่อว่า ลฮาน ดูรูพินาร์ (Llhan Durupinar) ผู้มีหน้าที่ตรวจสอบแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศในอาณาบริเวณต่างๆ ของประเทศตุรกี ได้เคยค้นพบภูมิทัศน์รูปทรงแปลกๆ ที่มีลักษณะคล้ายๆ ลำเรือ มีขนาดใหญ่พอๆ กับสนามฟุตบอล ลาดเอียงอยู่บริเวณแนวหินขรุขระของเทือกเขาอารารัต ในระดับความสูงประมาณ 6,300 ฟุตจากน้ำทะเล และตัดสินใจส่งภาพถ่ายเหล่านี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่ง ชื่อว่า ด.ร. แบรนเดนเบอร์เกอร์ (Brandenburger) แห่งมหาวิทยาลัยโอไฮโอ ผู้มีชื่อเสียงมาจากกรณี การค้นพบที่ตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ของสหภาพโซเวียตในประเทศคิวบา ได้จากแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศในช่วงยุคสงครามเย็น เพื่อให้ช่วยพิสูจน์ตรวจสอบกันอีกเที่ยวหนึ่ง…

และจากข้อสรุปของ ด.ร. แบรนเดนเบอร์เกอร์ ก็ได้ก่อให้เกิดข่าวคราวฮือฮาระดับโลกมาแล้วครั้งหนึ่ง ถึงขั้นที่นิตยสารซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง ไลฟ์ แมกกาซีน นำเอาภาพเหล่านี้ไปขึ้นปก พร้อมกับคำพาดหัวว่า นี่คือเรือโนอาห์จริงๆ หรือเปล่า??? เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญรายนี้ได้ ฟันธง ลงไปทันทีว่า ภูมิทัศน์ดังกล่าวไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่เป็นร่องรอยของซากเรือ อันเป็นสิ่งที่เกิดจากฝีมือมนุษย์อย่างไม่พึงต้องสงสัย คณะสำรวจชาวอเมริกันและนายทหารตุรกีอย่าง ดูรูพินาร์ จึงร่วมเดินทางเข้าไปสำรวจพื้นที่บริเวณดังกล่าวในช่วงปี ค.ศ.1960 โดยพยายามค้นหาร่องรอย หลักฐานใดๆ ก็ตาม ที่สามารถใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า รูปร่างลักษณะภูมิทัศน์ดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ ไม่ใช่เป็นแค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้พบหลักฐานใดๆ พอที่จะใช้เป็นข้อพิสูจน์ ยืนยันถึงสมมุติฐานดังกล่าวได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ข่าวคราวเหล่านี้ก็เลยค่อยๆ จางหายไปจากความสนใจของสาธารณชนมานับตั้งแต่นั้น…

จนกระทั่งเมื่อถึงปี ค.ศ.1977 ได้มีคณะสำรวจอีกกลุ่มหนึ่ง นำโดยนาย รอน ไวแอทท์ (Ron Wyatt) ได้รับอนุญาตจากทางการตุรกี ให้เข้ามาสำรวจหาร่องรอยเรือโนอาห์พื้นที่ในบริเวณนี้กันอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้คณะสำรวจชุดดังกล่าว ได้ตระเตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ มาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ตรวจจับวัตถุโลหะ เครื่องเรดาร์สแกนวัตถุใต้พื้นดิน ที่เรียกกันว่า GPR (Ground Penetrating Radar) รวมทั้งการตรวจวัตถุด้วยกระบวนการทางเคมี ฯลฯ เรียกว่า..ได้นำเอาห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้ในการพิสูจน์ สิ่งที่เชื่อว่า เป็นซากเรือโนอาห์อย่างเป็นระบบ และรายงานผลพิสูจน์ ซึ่งคณะสำรวจชุดนี้ค่อยๆ ทยอยสรุปออกมา ในแต่ละช่วง แต่ละระยะ ได้ก่อให้เกิดความตื่นตะลึงต่อสาธารณชนมาก่อนหน้าที่ คณะสำรวจชาวฮ่องกงจะประกาศว่าได้ค้นพบเรือโนอาห์ ตามข่าวซึ่งปรากฏไปเมื่อวันสองวันมานี้…ส่วนรายละเอียดดังกล่าวจะเป็นไปเช่นไร? ชัวร์ หรือ มั่วนิ่ม คงต้องไปว่ากันต่อในวันพรุ่งนี้อีกที…

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก จี.เฮอร์เบิร์ต…ความเป็นคนใหญ่คนโต…กับ…ความเป็นคนดี มักไม่เหมือนกัน…

Share the Post: