จาก หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ วันที่ 21 พฤษภาคม 2554
หากเอ่ยคำว่า “ลังกาวงศ์” “ลังกาทวีป” หรือ “กรุงลงกา” เป็นชื่อที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี เพราะมักจะปรากฏอยู่ในวรรณคดีหรือเรื่องราวทางประวัติศาตร์
ที่บรรจุอยู่ในการเรียนการสอน อาทิเช่น วรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ หรือแม้แต่เรื่องราวของพระพุทธศาสนาที่มีความเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทยมาช้านาน และในวันนี้โลก 360 องศา ก็ได้มาจรดองศายังสถานที่ซึ่งได้กล่าวมานี้ หากแต่ว่าในปัจจุบันมีชื่อเรียกว่า “ศรีลังกา”
ประเทศศรีลังกาคือเกาะที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดียและทางเหนือของประเทศมัลดีฟส์ โดยมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา”
มีพื้นที่ประมาณ 65,610 ตางรางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่ของประเทศศรีลังกาเป็นที่ราบลูกคลื่น ซึ่งมีภูเขาสลับกับที่ราบแคบๆ ทอดยาวจากชายฝั่งเข้าสู่ตอนกลางของประเทศ ซึ่งมีลักษณะเป็นที่สูง และมีอากาศที่เย็นสบาย
ด้วยเหตุที่ประเทศศรีลังกา ตั้งอยู่บนเส้นทางหลักของการเดินเรือ จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตกมาแต่อดีตกาล โดยมีกรุงโคลัมโบเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุด ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนล่างฝั่งตะวันตกของประเทศ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่ากรุงโคลัมโบคือเมืองหลวงของประเทศศรีลังกา แต่อันที่จริงแล้วเมืองหลวงอย่างเป็นทางการของที่นี่มีชื่อว่า ศรีชัยวรเทนปุระโกตเต แต่ด้วยเหตุที่กรุงโคลัมโบเคยมีสถานะเป็นเมืองหลวงเก่าและเป็นศูนย์กลางความเจริญทุกด้าน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ศรีชัยวรเทนปุระ-โกตเต เป็นเมืองหลวงทางนิตินัย แต่โคลัมโบคือเมืองหลวงทางพฤตินัย
ประเทศศรีลังกาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 3,000 ปี โดยชาวสิงหลและทมิฬอพยพมาจากประเทศอินเดีย ประมาณ 500 ปี และ 300 ปี ก่อนคริสตกาลตามลำดับ อาณาจักรสิงหลได้เริ่มก่อตั้งขึ้นบริเวณทางภาคเหนือของประเทศศรีลังกา โดยมีเมืองอนุราธปุระเป็นเมืองหลวงแห่งแรก ซึ่งมีอายุยาวนานถึง 1,200 ปี ต่อมาในศตวรรษที่ 13 จึงได้เสื่อมลงพร้อมกับการเกิดขึ้นของอาณาจักรทมิฬ โดยมีเมืองโปลอนนารุวะเป็นเมืองหลวงยาวนานประมาณ 200 ปี ชาวทมิฬจึงได้อพยพไปไปตั้งอาณาจักรจาฟนาทางคาบสมุทรจาฟนา ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ส่วนชาวสิงหลได้ถอยร่นไปตั้งรกรากอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ โดยได้ก่อตั้งอาณาจักรแคนดี ซึ่งมีเมืองแคนดีเป็นเมืองหลวง
พุทธศาสนาเข้ามาในประเทศศรีลังกาเมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาลโดย “ภิกขุ มหิทรา” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวกันว่า ชาวสิงหลและชาวทมิฬได้มีการสู้รบกันมาโดยตลอด ส่งผลให้ในช่วงหนึ่งพระพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนี้มีอันต้องเสื่อม ด้วยเหตุที่จำนวนของพระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่ในการสืบทอดศาสนามีจำนวนลดลง จึงได้มีการนิมนต์พระสงฆ์จากประเทศไทยและพม่าเพื่อมาช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในสมัยนั้น
อิทธิพลของนิกายมหายาน และยุคการเป็นเมืองขึ้นของชาติล่าอาณานิคม ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการคงอยู่ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทในประเทศศรีลังกา อย่างไรก็ตาม ความพยามในการฟื้นฟูและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงศตวรรษที่ 19 ก็ทำให้พระพุทธศาสนาในประเทศนี้ดำรงอยู่ได้มากว่า 2,000 ปี ซึ่งในปัจจุบันพุทธศาสนากระจายอยู่ทั่วทุกที่ของประเทศยกเว้นทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ของชาวทมิฬที่นับถือศาสนาฮินดู แต่อย่างไรก็ตามทีศาสนาพุทธคือศาสนาประจำชาติของศรีลังกา โดยมีผู้นับถือถึงกว่าร้อยละ 70 รองลงมาคือศาสนาฮินดูประมาณร้อยละ 15 ที่เหลือคือศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์
ในช่วงเวลาประมาณศตวรรษที่ 15 อิทธิพลของชาติล่าอาณานิคมเริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศศรีลังกา เริ่มจากโปรตุเกส ดัตช์ และอังกฤษ ตามลำดับ โดยมาทำการค้าตามเมืองท่าโดยเฉพาะทางด้านตะวันตกของประเทศ และได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ค.ศ.1948 รวมเวลาที่ศรีลังกาตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติเกือบ 500 ปี และตลอดระยะเวลาของการตกเป็นเมืองขึ้น ประเทศศรีลังกาจึงถูกวางบทบาทให้เป็นแหล่งผลิต ซินเนมอน ชา กาแฟ และยางพารา โดยเฉพาะในยุคของอังกฤษที่ได้มีการนำคนงานอินเดียจากแคว้น “ทมิฬนาฑู” ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย เพื่อเข้ามาเป็นแรงงานเพาะปลูก และกรุงโคลัมโบก็ได้ถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางทางราชการและการค้า นอกจากนี้อังกฤษยังได้ก่อตั้งโรงเรียน วิทยาลัย และสร้างถนนหนทางต่างๆ ซึ่งเป็นการนำเข้ารูปแบบการศึกษาและวัฒนธรรมแบบตะวันตกเข้ามาสู่คนท้องถิ่น
ด้วยประวัติศาสตร์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานกว่า 3,000 ปี บวกกับความยั่งยืนทางพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ครั้งก็ตามที แต่ที่นี่ก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีรากและแก่นที่แข็งแรง จึงไม่แปลกที่ว่าใครๆ จะมองว่า ดินแดนแห่งนี้มีความงดงามซึ่งมีเอกลักษณ์อันโดดเด่น หากจะเปรียบได้กับไข่มุก ก็ต้องบอกว่าไข่มุกเม็ดนี้ใช้เวลาในการสั่งสมความงามกว่านับพันๆ ปีเลยทีเดียว