บทความและรูปภาพจาก ผู้จัดการออนไลน์ 11 ตุลาคม 2547 17:47 น.
โดย – สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสถาน
คัมภีร์ไบเบิลของคริสต์ศาสนากล่าวถึง สวนสวรรค์ Eden หอคอย Babel และเรือที่ Noah สร้างเมื่อพระเจ้าทรงบันดาลให้น้ำท่วมโลก ฯลฯ เรื่องเล่านี้ได้จุดประกายความคิดให้นักวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นนักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา นักประวัติศาสตร์ นักเทววิทยา หรือนักวิทยาศาสตร์ มุ่งค้นหาว่าสถานที่หรือสถาปัตย์วัตถุที่ปรากฏในคัมภีร์มีจริงหรือไม่ และถ้ามีขณะนี้มันอยู่ที่ใด เพราะทุกคนรู้ว่า ถ้าวัตถุดึกดำบรรพ์ที่เกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ที่ระบุไว้ในคัมภีร์ไบเบิลยังมีอยู่ วิทยาศาสตร์จะช่วยวิเคราะห์ให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์ที่สาบสูญไปดียิ่งขึ้น
บันทึก Gilgamesh เมื่อ 2,232-1933 ปีก่อนคริสตกาล
เรื่องเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลกเป็น “นิทาน” หนึ่งที่ได้มีมานาน เทพนิยายกรีกเล่าว่า เมื่อองค์เทพ Zeus ทรงเห็นว่า มนุษย์กำลังทำบาปหนักหนาสาหัสเช่น ทำโจรกรรม ต่อสู้ ก่อจลาจล ทำสงคราม ขโมย ฆาตกรรม ฯลฯ พระองค์ทรงตัดสินพระทัยจะกำจัดความชั่วร้ายให้หมดสิ้น โดยจะบันดาลให้น้ำท่วมโลก ยกเว้นกษัตริย์ Deucalion และมเหสี Pyrrha ผู้ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม เมื่อเทพ Prometheus รู้ข่าวร้าย จึงได้บอกให้ Deucalion สร้างเรือขนาดใหญ่สำหรับตนและภรรยา ดังนั้นเมื่อฝนตกหนักเป็นเวลานาน 9 วัน 9 คืน คนทั้งโลกจึงจมน้ำตายหมด และเรือของคนทั้งสองก็ได้ลงจอดบนยอดเขา Parnassus ที่สูงที่สุดในกรีซเมื่อน้ำลด จากนั้น Deucalion ก็ได้โยนก้อนหินข้ามไหล่ และก้อนหินดังกล่าวได้กลายเป็นมนุษย์ผู้ชาย ส่วนภรรยาก็ได้โยนก้อนหินเช่นกัน เป็นมนุษย์ผู้หญิง และนี่ก็คือกำเนิดมนุษยชาติตามเรื่องเล่าในเทพนิยายกรีก
ชนชาว Sumerian เมื่อ 4,000 ปีก่อนนี้ ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลกเช่นกัน ใน Gilgamesh ซึ่งเป็นวรรณคดีที่โบราณที่สุดในโลกว่า มีชายคนหนึ่งชื่อ Ziusudra ซึ่งอาศัยอยู่ในเมือง Shurrupak (ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในทะเลทรายระหว่างเมือง Basra กับ Baghdad ในอิรัก) ว่าได้เห็นเหตุการณ์น้ำท่วมโลก
ภาพวาดเรือ Noah กับเหตุการณ์น้ำท่วมโลก โดย von Holzstich ในปี 2408
คัมภีร์ Genesis ก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลกเช่นกันว่า เมื่อพระเจ้าทรงเห็นมนุษย์ที่พระองค์สร้างประพฤติตัวชั่วช้า พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยกำจัด โดยจะเหลือไว้แต่ Noah และครอบครัวผู้มีคุณธรรม จึงทรงบัญชาให้ Noah จัดรวบรวมนก และสัตว์ทุกชนิดอย่างละ 1 คู่ เพศเมีย-ผู้เพื่อนำมาหลบภัยในเรือลำใหญ่ที่มีขนาดยาว 300 cubits (1 cubit = 1 เมตร) และกว้าง 50 cubits เรือนี้ทำด้วยไม้ gopher และตัวเรือเคลือบด้วยยางน้ำมันดิบ ทั้งด้านนอกและด้านใน เพื่อไม่ให้น้ำเข้า เมื่อ Noah สร้างเรือเสร็จพระเจ้าได้บันดาลให้ฝนตกหนัก 40 วัน 40 คืน จนถึงวันที่ 17 เดือน 7 ฝนก็หยุดตก และน้ำเริ่มลด คัมภีร์ Genesis กล่าวถึงเทือกเขา Urartu ใน Armenia ว่าเป็นสถานที่ที่เรือ Noah ลงจอด แต่นักวิชาการปัจจุบันหลายคนคิดว่า ยอดเขา Ararat ในตุรกีเป็นสถานที่ที่น่าจะพบเรือ Noah มากกว่า เพราะ Ararat คือยอดเขาที่สูงที่สุดในตุรกี ดังนั้นขณะน้ำลดภูเขาลูกแรกที่จะโผล่เหนือน้ำต้องเป็นภูเขา Ararat ที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี และมีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า Aghri Dagh ซึ่งแปลว่า ภูเขาแห่งความเจ็บปวด
ปัจจุบัน Ararat มียอดเขา 2 ยอดคือ Great Ararat ที่สูง 5,137 เมตร กับ Little Ararat ที่สูง 3,896 เมตร และช่วงบนของยอดเขาทั้งสองไม่มีต้นไม้ปกคลุม เมื่อถึงหน้าร้อนหิมะบนยอดเขาจะละลายนำความสมบูรณ์สู่ที่ราบ Anatolia ให้เกษตรกรชาวตุรกีได้ทำมาหาเลี้ยงชีพตราบจนทุกวันนี้
ยอดเขา Ararat ในตุรกี
ในความพยายามค้นหาตำแหน่งของเรือ Noah ตลอดเวลาที่ผ่านมา ได้มีการอ้างหลักฐานการเห็นซากเรือหลายครั้งเช่น เมื่อ 700 ปีก่อนนี้ หนังสือชื่อ Travels of Sir John Mandeville ที่เล่าว่ามีนักบวชคนหนึ่งเก็บเศษไม้ได้จากยอดเขา Ararat แต่ก็ไม่มีใคร ณ วันนี้รู้ว่า Sir John ในหนังสือนั้นคือใคร และมีตัวตนหรือไม่ และเมื่อ 200 ปีก่อนนี้ ความสนใจเกี่ยวกับเรือ Noah ได้บังเกิดอีกเมื่อวารสาร The New Eden รายงานว่า นักบินชาวรัสเซียคนหนึ่งชื่อ Vladimir Roskovitsky ขณะบินสำรวจผ่านยอดเขา Ararat เขาได้เห็นซากเรือขนาดใหญ่บนเขาลูกนั้น แต่ก็ไม่มีการติดตามไปดู จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2460 แม่ทัพรัสเซียท่านหนึ่งได้ส่งทหาร 150 คน ขึ้นไปดูซากเรือเพื่อนำรายงานไปบังคมทูลให้จักรพรรดิซาร์ (czar) ทรงทราบ แต่ได้เกิดรัฐประหาร คณะปฏิวัติ Bolshevik จึงได้ทำลายเอกสารรายงานหมด เพื่อไม่ให้ใครเชื่อคัมภีร์ไบเบิลอีกต่อไป
ในปี พ.ศ. 2498 F. Navarra นักผจญภัยชาวฝรั่งเศสกับลูกชายได้เดินทางขึ้นยอดเขา Ararat และได้นำไม้โอ๊กแผ่นหนึ่งกลับลงมา ในหนังสือชื่อ Noah ‘s Ark : I Touched It เขาเล่าว่า เขาต้องหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจของตุรกีเพื่อนำซากไม้ที่ยาว 2 เมตรออกนอกประเทศ ถึงแม้หนังสือเล่มนั้นจะมีภาพของสองพ่อลูกบนภูเขา แต่ก็หามีภาพของเรือไม่ และเมื่อ Navarra ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุของวัตถุโบราณวัดอายุของไม้เขาได้ข้อสรุปว่า ไม้นั้นมีอายุตั้งแต่ 4,000-6,000 ปี ซึ่งก็ตรงกับคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า โลกถือกำเนิดเมื่อ 6,008 ปีก่อนนี้ และเหตุการณ์น้ำท่วมโลกเกิดขึ้นเมื่อ 5,000 ปีก่อนจริง
แต่การวัดอายุของไม้ในเวลาต่อมา 7 ครั้ง โดยใช้เทคโนโลยีคาร์บอน-14 ได้ข้อมูลว่า ไม้ของ Navarra มีอายุเพียง 1,214-1,384 ปีเท่านั้นเอง
ตราบเท่าทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีใครพบหลักฐานที่แสดงให้เห็นแม่นมั่นว่า เรือ Noah มีจริง ความโกลาหล การแอบอ้างต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่คนหลายคนเชื่อว่า ไบเบิลเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่บันทึกเหตุการณ์จริง แต่จริงไบเบิลเป็นเอกสารศีลธรรมที่พยายามสื่อสารให้คนอ่านรู้ว่า พระเจ้ามีจริง และทุกคนควรมีจริยธรรม และอยู่ในศีลในธรรม มิฉะนั้นก็จะถูกพระเจ้าลงโทษ
เรือโนอาห์
ถึงแม้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรือจะยุติลงในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ แต่ประเด็นเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ก็ยังมีบุคคลสนใจมากมาย เมื่อ 4 ปีก่อนนี้ ในหนังสือชื่อ Noah ‘s Flood : The New Scientific Discoveries About the Event That Changed History. William Ryan แห่ง Lamont-Doherty Earth Observatory ที่เมือง Palisades ใน New York สหรัฐอเมริกาได้เสนอความเห็นว่า ในอดีตเมื่อ 8,000 ปีก่อนนี้ ได้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งมโหฬารในบริเวณที่ราบรอบทะเลดำ (Black Sea) ซึ่งอยู่ระหว่างยุโรปกับเอเชีย และเป็นทะเลสาบน้ำจืด น้ำทะเลได้ไหลทะลักผ่านเข้ามาทางช่องแคบ Bosphoues จนถึงทะเลดำทำให้ระดับน้ำในทะเลสาบเพิ่มสูงขึ้น 100 เมตร ในเวลา 3 ปี แต่ Ryan มิได้ระบุชัดว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เกิดจากสาเหตุใด
ในวารสาร Paleoceanography ฉบับที่ 19 ปีนี้ Mark Siddall แห่งมหาวิทยาลัย Bern ในสวิตเซอร์แลนด์กับคณะได้รายงานการใช้คอมพิวเตอร์จำลองสถานการณ์น้ำท่วมในทะเลดำ และพบว่า เหตุการณ์น้ำท่วมโลกสามารถเกิดขึ้นได้
โดยคณะผู้วิจัยได้สมมติว่าในอดีตเมื่อ 10,000 ปีก่อนนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่โลกกำลังตกอยู่ในยุคน้ำแข็ง Holocene ทะเล Mediteranean ทะเล Marmara และทะเลดำมีแผ่นดินคั่นอยู่ ณ เวลานั้นระดับน้ำในทะเลดำอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำในทะเล Marmara ประมาณ 100 เมตร และเมื่อน้ำแข็งละลายระดับน้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทะเล Marmara ได้เพิ่มสูงขึ้นๆ จนกระทั่งเมื่อ 8,400 ปีก่อนนี้ น้ำจากทะเล Marmara ก็ได้ไหลข้ามพื้นแผ่นดินที่คั่นระหว่างทะเล Marmara กับทะเลดำเข้าสู่ทะเลดำ
เหตุการณ์น้ำทะเลจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไหลผ่านช่องแคบ Dardanelle เข้าสู่ทะเลมามาราแล้วผ่านช่องแคบ Bosphoues เข้าสู่ทะเลดำ ทำให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลก
ในการศึกษารายละเอียดของเหตุการณ์น้ำท่วมว่ารุนแรง หรือราบเรียบเพียงใด Siddall กับคณะได้กำหนดให้กระแสน้ำท่วมมีความเร็วต่างๆ กัน แล้วศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นตามบริเวณขอบทะเลดำ และเขาก็ได้พบว่า ถ้ากระแสน้ำไหลช้าๆ แรง Coriolis ซึ่งเกิดจากการหมุนรอบตัวเองของโลก จะทำให้น้ำไหลขึ้นทางเหนือจะพุ่งเฉียงไปทางตะวันออก แต่ถ้ากระแสน้ำไหลเชี่ยว เพราะขณะนั้นได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวด้วย พลังไหลของน้ำจะมหาศาล จนมันสามารถไหลได้ทุกทิศทาง ปริมาณน้ำที่มากถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เท่ากับ 20 เท่าของน้ำตก Niagara จะไหลพุ่งเข้าทะเลดำเป็นเวลานาน 33 ปี จนระดับน้ำในทะเล Marmara และทะเลดำเท่ากันน้ำจึงหยุดท่วม
งานค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่ยุติ เพราะนักวิชาการหลายคนคิดว่า นี่เป็นเพียงแบบจำลองทางจินตนาการ ที่ยังต้องการหลักฐานเชิงประจักษ์เช่น ตะกอนบริเวณท้องน้ำของทะเลดำว่า แสดงการเพิ่มของระดับน้ำในทะเลดำตามกาลเวลาอย่างไร และตรงกับผลการคำนวณหรือไม่ ซึ่งถ้าตรงก็แสดงให้เห็นว่า วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์เหตุการณ์ที่กล่าวถึงในศาสนาได้ครับ