marinerthai

พลิกโฉมหน้าใหม่ ‘ทีพีไอ’ ฟื้นอาณาจักรปิโตรเคมีไทยผงาดเอเชีย

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 56 ฉบับที่ 17460 วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน 2548

เรื่องราวการต่อสู้เพื่อให้ได้มา ซึ่งสิทธิในการครอบครอง กิจการของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 8 ปี จนเกือบจะกลายเป็นมหากาพย์นั้น บัดนี้ใกล้จะเสร็จสิ้นและได้ข้อยุติแล้ว

ข้อยุตินี้ อาจไม่ใช่เพื่อการช่วยเหลือเจ้าหนี้ หรือเพื่อพิทักษ์ปกป้องลูกหนี้ หากแต่เป็นความถูกต้องชอบธรรมที่รัฐบาลแต่ละประเทศ พึงกระทำเพื่อรักษาไว้ซึ่งกิจการของคนไทยไม่ให้ต้องตกไปอยู่ในมือฝรั่งต่างชาติ

ย้อนหลังกลับไปมองภาพในอดีต จะพบว่าสถานภาพของทีพีไอ ไม่ได้ต่างไปจากบริษัทน้อย-ใหญ่ในประเทศที่ต้องล้มทั้งยืน ทันทีที่กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท

แต่ที่ไม่เหมือนกัน เห็นจะเป็นที่ทีพีไอ และกลุ่มผู้บริหารผู้ถือหุ้นใหญ่ อันได้แก่ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และครอบครัว ซึ่งได้กลายเป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว จากการเปลี่ยนสถานะสกุลเงินกู้ จากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินบาท และไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ หรือความเป็นธรรม จากการปรับโครงสร้างหนี้ใดๆ จากสถาบันการเงินเจ้าหนี้เฉกเช่น ที่ลูกหนี้รายอื่นๆได้รับ

ผลจึงทำให้หนี้ทั้งต้น และดอกของลูกหนี้กลุ่มนี้ ถูกบวกเพิ่มเข้าไปเป็นทวีคูณถึง 3,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คำนวณเป็นเงินบาท ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ 50 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ยอดหนี้พุ่งขึ้นไปเป็นเงินเกือบ 200,000 ล้านบาท

ในขณะที่เจ้าหนี้ทั้งไทย และเทศของทีพีไอกว่า 140 รายด้วยกัน เปลี่ยนข้างจากการเป็น “มหามิตร” ในอดีต มาเป็น “ศัตรูตัวฉกาจ” ในทันทีที่การเจรจาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้นอกศาล ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะมีเดิมพันของอาณาจักรมูลค่าหลายแสนล้านบาทรออยู่นั่นเอง

ทีพีไอ เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลางช่วงปี 42 เป็นบริษัทแรก หลังการแก้ไขกฎหมายล้มละลายที่เปิดให้ธุรกิจที่ประสบปัญหา เข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการเพื่อให้กลับมาดำเนินธุรกิจปกติได้

แต่การฟื้นฟูกิจการภายใต้บังเหียนของกลุ่มผู้ถือหุ้น และผู้บริหารชุดเดิม ดูจะเป็นเรื่องที่ห่างไกลออกไปทุกขณะ เมื่อกลุ่มของนายประชัย ต้องพลาดท่าเสียทีให้แก่เจ้าหนี้ ที่ชนะในการเสนอให้ศาลล้มละลายกลางแต่งตั้ง บริษัทเอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ เป็นตัวแทนเจ้าหนี้ในการบริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ ในปี 2543…

เปิดตำนานการต่อสู้

แต่ได้สร้างความขัดแย้งมากขึ้นเมื่อ “ประชัย” ในฐานะผู้ บริหารของลูกหนี้ ประกาศสงครามออกโรงตรวจสอบ การทำงานของเอ็ฟเฟ็คทีฟฯ ทุกตารางเมตร โดยใช้กลยุทธ์ทั้งใต้ดิน-บนดิน ต่อต้าน ก่อกวน และวางยาการเข้ามาทำงาน ของเอ็ฟเฟ็คทีฟฯทุกรูปแบบ

และยังยื่นคำร้องคัดค้านแผนฟื้นฟู ฉบับเอ็ฟเฟ็คทีฟต่อศาลอย่างต่อเนื่อง โดยชี้ให้เห็นว่าเป็นแผนที่สร้างความหายนะให้ทีพีไอ เพราะมุ่งชำแหละทรัพย์สินและธุรกิจต่างๆออกมาขายให้ต่างชาติ แถมยังต้องการฮุบกิจการหลักของทีพีไอ นอกเหนือจากการกอบโกยผลประโยชน์ค่าจ้างปีละหลายพันล้านบาท

เห็นได้จากการนำดอกเบี้ยค้างรับมาแปลงเป็นทุน ส่งผลให้เจ้าหนี้ กลับกลายมาเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ทีพีไอถึง 75% ของทุนทั้งหมด ขณะที่ยอดหนี้เงินต้นยังตั้งรออยู่ครบทุกเม็ด ไม่ได้ลดซักบาท!!

กว่า 3 ปีของการเข้ามาของเอ็ฟเฟ็คทีฟฯ ส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีคดีฟ้องร้องกันมากกว่า 200 คดี ในที่สุดในปี 46 ศาลจึงมีคำสั่งเพิกถอนให้เอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ ออกจากการเป็นผู้บริหารแผน

รัฐบาลโดดเป็นเจ้าภาพ

เปิดทางให้รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังต้องโดดเข้ามาเป็นเจ้าภาพ โดยศาลล้มละลายได้แต่งตั้งให้กระทรวงการคลัง เข้ามาเป็นผู้บริหารแผน และแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการใหม่ โดยให้มีสิทธิเด็ดขาดในการปรับโครงสร้างหนี้, โครงสร้างทุนและจัดหาผู้ร่วมลงทุนที่เหมาะสม หวังให้การแก้ปัญหาของลูกหนี้เป็นไปอย่างบูรณาการแบบเบ็ดเสร็จ หลังรัฐบาลมีดำริจะร่วมมือกับศาลยุติธรรมในการแก้ปัญหา

เพราะเห็นว่าหากปล่อยไว้ ความขัดแย้งที่รุนแรง และความไม่ไว้วางใจที่มีต่อกัน รังแต่ จะสร้างความหายนะให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขนาดใหญ่ ที่เป็นสินทรัพย์ของชาติ ซึ่งมีพนักงานและครอบครัวเกี่ยวข้องคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ ที่จะสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องให้กับประเทศ ไม่ให้ได้รับผลกระทบ

และหากปล่อยให้บริษัทต้องล้มละลายไป ก็จะยิ่งเพิ่มปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มหาศาล ต่อสถาบันการเงินเจ้าหนี้ รวมทั้งหุ้นในตลาดก็จะไม่มีราคา ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น

5 อรหันต์จากกระทรวงการคลัง จึงได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นผู้บริหารแผน โดยประกาศยึดนโยบายหลักคือ ต้องทำให้ทีพีไอกลับมาแข็งแรงดำเนินกิจการได้ตามปกติ, พนักงานต้องได้รับการดูแล ไม่ตกงาน ขณะที่เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้คืน และฝ่ายลูกหนี้ต้องได้รับความเป็นธรรม!!

แผนฟื้นฟูกิจการฉบับกระทรวงการคลัง จึงกำหนดให้ลดทุนเพื่อตัดขาดทุนสะสม และเพิ่มทุนขายหุ้นให้กลุ่มพันธมิตร, พนักงานและผู้ถือหุ้นเดิม รวมทั้งขายหุ้นบริษัททีพีไอโพลีนในส่วนที่ทีพีไอถืออยู่ เพื่อนำเงินทั้งสิ้นกว่า 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 69,000 ล้านบาท มาชำระคืนให้เจ้าหนี้ทั้งหมด

ขณะที่เจ้าหนี้ต้องยอมลดดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นใหม่ทั้งหมด และยอมคายหุ้นที่ได้จากการแปลงหนี้เป็นทุนฮุบกิจการในรอบแรก ออกมาขายให้กลุ่มพันธมิตรด้วย หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน หลังการเพิ่มทุนเสร็จสิ้น สถานะของทีพีไอจะกลับมาแข็งแกร่ง หลุดพ้นจากพันธนาการที่เคยมีหนี้สินล้นพ้นตัว!!

ขณะที่วงจรธุรกิจปิโตรเคมีที่เป็น “ขาขึ้น” ได้สร้างกำไรให้ทีพีไอมหาศาล โดยล่าสุด ณ มิ.ย.48 ทีพีไอมีสินทรัพย์รวมกว่า 155,299 ล้านบาท มีเงินสดในมือ 6,568 ล้านบาท และเพียง 6 เดือนแรกของปี 48 สร้างยอดขายได้กว่า 86,042 ล้านบาท มีกำไร 3,768 ล้านบาท และธุรกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

เจ้าหนี้กลับลำหวังฮุบกิจการ

แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย ที่ก่อตัวขึ้นช่วงปลายทางของการฟื้นฟูกิจการคือ การเคลื่อนไหวของเจ้าหนี้ต่างชาติบางกลุ่ม ที่เริ่มเปลี่ยนใจ อยากกลับมาฮุบหุ้นฮุบกิจการทีพีไอ หลังดีดลูกคิดแล้วเห็นว่า มีโอกาสหากำไรได้มหาศาลจากราคาหุ้น เพราะถ้าเจ้าหนี้ใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุนก็จะทำให้มีกำไรทันที

ดังนั้น ระหว่างที่กลุ่มพันธมิตร ของกระทรวงการคลังจะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งมี บมจ.ปตท. เป็นหัวหอกนำทีม ตามด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ธนาคารออมสินและกองทุนวายุภักษ์ ได้วางแผนที่จะขออำนาจศาลเข้าไปนั่งเป็นกรรมการร่วมบริหารทีพีไอ ก่อนที่จะใส่เงินเพิ่มทุนเข้าไปร่วม 60,000 ล้านบาท รวมทั้งขอขยายแผนฟื้นฟูไปอีก 3-6 เดือน เพื่อสร้างความมั่นใจและทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย

เจ้าหนี้ต่างชาติจึงได้รวมหัวกันซื้อหนี้จากเจ้าหนี้บางกลุ่ม รวมทั้งล็อบบี้เจ้าหนี้บางรายจนได้เสียงข้างมาก เตรียมคัดค้านการขยายเวลาแผนฟื้นฟู

โชคดีที่ข่าวรั่ว และรัฐบาล โดยคณะผู้บริหารแผน ได้วิ่งล็อบบี้ กล่อมจนเจ้าหนี้ต่างชาติหลายราย ยอมพลิกกลับมาเข้าร่วมกับฝ่ายไทย ขณะที่บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) เจ้าหนี้รายใหญ่ยอมงดออกเสียงตั้งตัวเป็นกลาง ทำให้ปฏิบัติการยึดทีพีไอกลับมาอยู่ในอ้อมอกของไทยสำเร็จได้อีกครั้งอย่างฉิวเฉียด และทันทีที่ศาลล้มละลาย มีคำสั่งขยายเวลาการอยู่ในแผนฟื้นฟูของทีพีไอออกไปอีก 6 เดือน

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. และยอมให้คณะผู้บริหารแผนกำหนดวันประชุมผู้ถือหุ้น หลังทีพีไอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ เพื่อให้ตัวแทนจาก ปตท.และพันธมิตร เข้าไปร่วมนั่งเป็นกรรมการทีพีไอ

เป็นการยืนยัน และสร้างความมั่นใจได้ว่า หลังออกจากแผนฟื้นฟู อาณาจักร ทีพีไอกำลังจะกลับมาผงาดอีกครั้งและอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่อย่าง ปตท.!!

อนาคตทีพีไอผงาดเอเชีย

ว่ากันว่า หลังจาก ปตท.เข้าร่วมทุนกับทีพีไอ จะทำให้ประเทศไทยมีการผลิตอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำอย่างแท้จริง และกลายเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ของเอเชีย ออกไปสู้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติจากอินเดียและจีนได้อย่างไม่น้อยหน้า

ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นก็สามารถออกไปต่อกรกับสิงคโปร์ได้ โดยทั้ง 2 บริษัทจะพึ่งพาทรัพยากรและสายการผลิตซึ่งกันและกันได้ ทั้งธุรกิจโรงกลั่น ก๊าซ โรงไฟฟ้า ท่าเรือน้ำลึก ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการผลิตและการสั่งซื้อวัตถุดิบ และยังสามารถบริหารจัดการระบบการจำหน่ายและการขนส่งร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สุดท้ายจะทำให้ผลประกอบการของทั้งทีพีไอ และ ปตท.เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สร้างรายได้กลับเข้าประเทศชาติได้อย่างมหาศาล

ขณะที่ “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.ย้ำว่า การเข้าไปถือหุ้นในทีพีไอครั้งนี้ ปตท.จะเข้าไปปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพ และเกิดธุรกิจครบวงจรต่อเนื่องมากขึ้น ไม่ว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตโรงกลั่นน้ำมันทีพีไอ ที่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตขนาด 210,000 บาร์เรลต่อวัน แต่กลั่นจริงเพียง 180,000 บาร์เรลต่อวัน

และจะใส่เงินทุนเข้าไปขยายกำลังการผลิต ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาล ที่ให้ ปตท.เป็นแกนนำในการลงทุนโครงการปิโตรเคมีเฟส 3 หรือ “ปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์” ไล่ตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำครบวงจร ซึ่ง ปตท.และทีพีไอจะลงทุนส่วนขยายในเม็ดพลาสติกเกือบทุกประเภท ทำให้ปี 2552 กิจการปิโตรเคมีของ ปตท.และทีพีไอจะมีกำลังการผลิตจนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจปิโตรเคมีทันที

ขณะที่โรงไฟฟ้าทีพีไอ จ.ระยอง ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ปตท.จะเข้าไปปรับปรุง โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงได้แทน ซึ่งต้นทุนต่ำและสะอาดกว่า เพราะ ปตท.เตรียมก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งที่ 6 ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดอยู่แล้ว สำหรับท่าเรือน้ำลึกที่ทีพีไอมีอยู่ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการรองรับเรือขนส่งขนาดใหญ่ ปตท.จะเข้าไปก่อสร้างส่วนขยายท่าเรือเพิ่ม เพื่อรองรับวัตถุดิบและขนส่งสินค้าทั้งของทีพีไอและเอกชนรายอื่นๆ ซึ่งจะสร้างรายได้

อีกทางและยังถือเป็นอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน

พันธมิตรใหม่มั่นใจศักยภาพ

ด้าน “วิสิฐ ตันติสุนทร” เลขาธิการ กบข. กล่าวว่า กบข.ซึ่งทุ่มเงินเข้าไปลงทุนในทีพีไอ 6,450 ล้านบาท ถือหุ้น 10% มั่นใจว่าจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าหลังพิจารณาศักยภาพของทีพีไอ โดยคาดว่า กบข.จะได้ผลตอบแทนปีละไม่ต่ำกว่า 15% โดยตั้งใจถือหุ้นยาว 5 ปี เพราะแนวโน้มทีพีไอดีแน่นอน เนื่องจากการเข้าไปซื้อหุ้นภายหลังจากทีพีไอได้ผ่านกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างแล้ว ทำให้เสี่ยงน้อย

ส่วน “กรพจน์ อัศวินวิจิตร” ผอ.ธนาคารออมสิน กล่าวว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในปัจจุบันและอนาคตมีความคุ้มค่า ในแง่ของผลตอบแทนทั้งเงินปันผล และราคาหุ้น นอกจากนี้ ยังมองถึงผลประโยชน์ที่ประเทศชาติจะได้ประโยชน์จากการแก้ปัญหาทีพีไอที่เกิดขึ้น อย่างมหาศาลทั้งการลดหนี้เอ็นพีแอลและการจ้างงาน ด้าน “พรรณี สถาวโรดม” ในฐานะผู้อำนวยการกองทุนรวมวายุภักษ์ กล่าวว่า นับจากวันที่กองทุนรวมวายุภักษ์ลงนามซื้อหุ้นทีพีไอในราคา 3.30 บาท จนถึงปัจจุบันราคาหุ้นทีพีไอขึ้นมาอยู่ที่ 14-15 บาท ก็ถือว่ากิจการของทีพีไอ ยังมีอนาคตที่สดใส โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแนวโน้มยังอยู่ขาขึ้นอีก 2-3 ปี

ทั้งหมดล้วนเป็นความเห็นของพันธมิตรผู้ถือหุ้นใหม่ ที่มั่นใจถึงความคุ้มค่าในการใส่เม็ดเงินเข้าไปร่วมทุน เมื่อพิจารณาศักยภาพและแนวโน้มธุรกิจทีพีไอในอนาคต หลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ

ขณะที่คดีลูกหนี้ประวัติศาสตร์ของประเทศไทย กำลังจะปิดฉากลง พร้อมๆกับการกลับมาผงาด ฟื้นคืนชีพของอาณาจักรทีพีไอ แม้จะต้องเปลี่ยนมือจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม แต่ยังดีที่สามารถรักษาธุรกิจสำคัญนี้ให้เป็นของคนไทย เพราะระหว่างทางของการคัดง้างต่อสู้หลายครั้ง เกือบพลาดพลั้งตกไปอยู่ในมือของต่างชาติ

และคดีสำคัญนี้ ได้ฝากบทเรียนไว้อย่างมากมาย ของการแก้ปัญหาในภาวะวิกฤติให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และภาครัฐ ได้จดจำและเรียนรู้ และป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำรอยได้อีก

เพราะ 8 ปี ของการต่อสู้ ยาวนานเกินไป สำหรับอุตสาหกรรมที่ลงทุนเป็นแสนล้านต้องหยุดชะงัก ไม่สามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับประเทศได้อย่างเต็มที่

ขณะที่ “ประชัย” ก็ได้สร้างตำนานการต่อสู้ของลูกหนี้ ที่งัดกลยุทธ์สู้ทุกรูปแบบ แม้ขณะนี้ทุกฝ่ายจะมองว่าคดีนี้กำลังจะปิดฉากลง และประชัยจะเหลือเพียงการเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย 10% แถมยังมีส่วนร่วมในการบริหาร

แต่ทีมเศรษฐกิจเชื่อว่า การต่อสู้เพื่อให้ได้ธุรกิจทีพีไอกลับคืนมายังไม่สิ้นสุด ตราบใดที่คนชื่อ “ประชัย” ยังมีชีวิต จะปรามาสไม่ได้ เพราะคนที่คิดและสร้างอาณาจักรอย่างทีพีไอขึ้นมาได้ ต้องไม่ธรรมดา!!

Share the Post: