marinerthai

เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล [1]

เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล ป. บทประพันธ์โดย น.ต.มนัส จารุภา

เป็นการเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์ทางด้านการเมืองในอดีต ที่จะทำให้ทราบเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในสมัยของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองและการปฏิวัติรัฐประหารของบ้านเมือง ซึ่งส่งผลต่อความคิดและความเห็นของคนทั้งประเทศ และยังได้นำเสนอภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องหลบหนีคดีบ้านเมือง ซึ่งจะเป็นการเล่าประสบการณ์ที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน

ก่อนจะถึง 29 มิถุนายน

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่แล้ว ประเทศไทยได้ประสบกับความยากลำบากนานาประการในด้านการครองชีพโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องอุปโภคบริโภค และเวชภัณฑ์ต่างๆ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง เราก็มุ่งหวังว่าจะได้กลับไปสู่สภาพความเป็นอยู่ที่สงบสุข และราบรื่นเช่นกาลก่อน ในระยะนั้น ความผันผวนในทางการเมืองก็ยังไม่มีเค้าปรากฏขึ้น เรามีรัฐบาลคณะต่างๆ บริหารกิจการบ้านเมืองสืบต่อจากที่นายควง อภัยวงศ์เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล คณะรัฐบาล มาดังนี้คือ นายทวี บุณยเกตุ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช นายปรีดี พนมยงค์ แล้วก็ถึง พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นหัวหน้ารัฐบาลตามลำดับ

รัฐบาลคณะหลังนี้ได้บริหารงานของประเทศชาติต่อเนื่องด้วยความเสื่อมโทรมอย่างเห็นได้ชัด มีงบประมาณการจ่ายเงินฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น มีการใช้ตำแหน่งหน้าที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นหลายอย่างด้วยกัน มีตัวอย่างให้เห็นประจักษ์ เช่น การสั่งซื้อรถบูอิคมาประดับเกียรติพวกรัฐมนตรีทั้งหลาย ความล้มเหลวของ องค์การสรรพาหาร การกินจอบกินเสียม ฯลฯ เป็นต้น และที่ร้ายแรงที่สุดก็คือการปล้นท้องของประชาชน โดยเอาข้าวออกนอกประเทศด้วยวิธีทุจริตที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้แก่ผู้มีอำนาจอิทธิพล นับแต่ตัวรัฐมนตรีลงไปถึงสมุนบริวารและพวกพ้อง เมื่อมีเรื่องฉาวโฉ่แดงโล่ออกมา ก็สามารถวิ่งเต้นระงับเรื่องราวให้สงบลงได้ประชาชนเกิดความไม่พึงพอใจเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ มีเสียงประณามและครหานินทาอยู่ทั่วๆไป

ในระยะเวลานี้ ข้าพเจ้ารับราชการในตำแหน่ง “นายธง” (นายทหารคนสนิทของผู้บังคับบัญชาที่มียศชั้นนายพลเรือ) ของนายพลเรือโทผัน นาวาวิจิต (ถึงแก่กรรมแล้ว ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองเรือรบไปขณะนั้น ได้มีโอกาสทราบถึงความทุจริตเหลวแหลกต่างๆ จากตัวท่านโดยตรง และจากบรรดาท่านผู้ใหญ่ที่ติดต่อไปมาหาสู่ท่าน ผ.บ. กองเรือรบเป็นนิจสิน จึงในวันหนึ่งสบโอกาสเหมาะ ได้เรียนกับท่านอย่างเปิดอกว่า รัฐบาลที่บริหารประเทศไปสู่ความหายนะเช่นนั้น ไม่สมควรที่จะให้คงอยู่ต่อไป ควรที่ท่าน ผ.บ. กองเรือรบจะได้รวบรวมกำลังทำการขับไล่ออกไปเสีย แล้วจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ ท่าน ผ.บ. กองเรือรบกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ที่ข้าพเจ้าพูดขึ้นนั้นก็ถูกต้องแล้ว ท่านจะทำก็ทำได้ ไม่ยากอะไร เพราะคณะรัฐบาลคณะชุดหลวงธำรงฯ นั้น เปรียบเหมือนผลไม้ที่สุกงอมคาต้นเพียงแต่เอามือเขย่าต้นเบาๆ ก็จะร่วงลงมาเอง แต่ท่านไม่อยากจะทำเพราะทำไปแล้วมือก็จะพลอยเปื้อน เหมือนกับที่เคยเปื้อนมาแล้วในคราวที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 ล้างเท่าไรก็ไม่หายสกปรก ปล่อยให้คนอื่นเขาจัดการดูบ้างแล้วกัน

ข้าพเจ้ารับฟังท่านด้วยความเห็นใจ เพราะท่านเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญคนหนึ่งในคณะผู้ก่อการ 24 มิถุนายน 2475 เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อประเทศชาติ ไม่เคยมีประวัติเสียหายด่างพร้อยในทางทุจริตใดๆตลอดชีวิตของท่านไม่เคยร่ำรวยเหมือนกับผู้ก่อการรุ่นเดียวกัน คนอื่นๆ ที่ต่างละทิ้งอุดมคติและสัจวาจาที่ได้ให้ไว้แก่ประชาชน มุ่งหน้ากอบโกยผลประโยชน์สู่ตนและวงศาคณาญาติมั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุขขึ้นชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

การที่ท่าน ผ.บ. กองเรือรบเปรียบรัฐบาลชุดหลวงธำรงฯ ไว้เช่นนั้น มิได้ผิดไปจากความที่เป็นจริงเลย เพราะในระยะต่อมาไม่นานนักก็เกิดรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ภายใต้การนำของ พ.อ.ผิน ชุณหะวัน และ ผ.อ.กาจ กาจสงคราม ซึ่งสำเร็จอย่าง่ายดายและประชาชนให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

ในระยะแรกคณะรัฐประหารได้เชิญนายควง อภัยวงศ์ มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็จี้ให้ออกไป และเชิญจอมพล ป.พิบูลสงคราม เข้ารับตำแหน่งแทน การกลับมาของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในครั้งนั้น ประชาชนส่วนมากก็ยังคิดว่า จะเป็นการกลับมาด้วยดี โดยหวังว่าระยะเวลาที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ต้องไปพักผ่อนสมองอยู่ที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี นั้น คงจะทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้รับบทเรียนที่ดี ไปพิจารณาปรับปรุงตัวเองให้เหมาะสมกับความต้องการของประชาชนแล้ว

จอมพล ป. พิบูลสงคราม

แต่ประชาชนกลับต้องพลกับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นไปกว่าเก่า รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม พยายามสร้าง “อำนาจ” ให้เกิดขึ้นเพื่อเป็นเกราะคุ้มภัย และเป็นหนักค้ำจุนฐานะของรัฐบาล และอำนาจจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องหว่านกันด้วยเงิน ด้วยตำแหน่งการงาน ดังนั้น จึงเกิดระบบอภิสิทธิ์ต่างๆ ขึ้น ตั้งแต่บุคคลในคณะรัฐบาลเอง ตลอดไปจนกระทั่งบุตรภรรยาญาติพี่น้องพวกพ้องและบริวาร การคอรัปชั่นเริ่มแทรกซึมไปในกิจการงานทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดเรื่องใหญ่ๆ เช่น การแลกเงินรูปี การซื้อรถเบรนกันแครี่เออร์ นอกจากนั้นยังหมุนเวียนของประเทศมาใช้ เพื่อพวกพ้องของตนเองหลายต่อหลายราย กิจกรรมใดที่เห็นเป็นประโยชน์ก็กันไว้สำหรับพรรคพวก ฯลฯ รัฐบาลชุดนี้ได้บริหารประเทศชาติโดยใช้อำนาจไม่เป็นธรรมตลอดมา พวกรัฐประหารส่วนมากร่ำรวยขึ้นผิดหูผิดตา แต่ประชาชนยิ่งยากจนลงไปทุกวันๆ การปกครองของประเทศไทยสมัยนั้น เป็นประชาธิปไตยเพียงแต่ชื่อ แท้จริงแล้วเราควรจะเรียกว่า “คณาธิปไตย” จึงจะเหมาะสมกว่า และตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด

เมื่อครั้งเกิดกรณี 26 กุมภาพันธ์ 2492 ซึ่งเรียกกันว่าจลาจลวังหลวงนั้น กำลังฝ่ายทหารเรือหน่วยนาวิกโยธิน ได้ปะทะสู้รบกำลังฝ่ายทหารบกและตำรวจที่บริเวณประตูน้ำสระประทุมและจุดอื่นๆ บางแห่ง ฝ่ายทหารเรือจะได้ร่วมรู้กับฝ่ายพลเรือนที่เข้ายึดพระบรมมหาราชวัง ภายใต้การนำของนายปรีดี พนมยงค์ หรือไม่ นายทหารชั้นผู้น้อยไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ เมื่อเหตุการณ์สงบลงด้วย
การเจรจาระหว่างฝ่ายรัฐประหารกับผู้ใหญ่ฝ่ายทหารเรือแล้ว ก็มีการประกาศว่า เป็นการเข้าใจผิดจึงเกิดการปะทะสู้รบกันขึ้นเรื่องจึงเป็นอันเลิกแล้วต่อกันไป คงมีแต่การจับกุมตัวฝ่ายพลเรือนที่ดำเนินการในวังหลวงไปดำเนินคดี และทางกระทรวงกลาโหมสั่งย้ายพลเรือตรีทหาร ขำหิรัญ ผู้บังคับการกรมนาวิกโยธิน ไปสำรองราชการกรมเสนาธิการทหารเรือ

เหตุการณ์ก็ดูจะสงบราบเรียบดี แต่นั้นเป็นเรื่องที่มองดูกันแต่เพียงผิวเผินเพราะหลังจากนั้นแล้วก็มีการคุมเชิงกันในระหว่างผู้ใหญ่ฝ่ายรัฐประหารกับผู้ใหญ่ฝ่ายทหารเรือ ยังผลให้ที่บริเวณกองเรือรบมีการเตรียมพร้อมอย่างไม่เป็นทางการอยู่ประมาณสมเดือน มีการจัดตั้งกำลังหมู่รบจากกำลังทางเรือ ฝึกซ้อมทำการรบบนบกอยู่ตลอดเวลา

การที่ต้องมาแกร่วเตรียมพร้อมอยู่วันแล้ววันเล่า พวกเราซึ่งมีนายทหารหนุ่มหลายคนได้มีโอกาสพบปะพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์พฤติการณ์เหลวแหลกต่างๆ ของรัฐบาลในระยะนั้นอยู่เสมอ ผสมกับความเบื่อหน่ายต่อการคุมเชิงคาราคาซัง อยากให้แตกหัก ลงไปอย่างเด็ดขาดเพราะพวกเราเชื่อมั่นในความสามัคคีรักหมู่รักคณะ ซึ่งได้แสดงให้เห็นประจักษ์มาแล้วในกรณี 26 กุมภาพันธ์ แต่เรายังไม่สามารถจะดำเนินการใด ๆ ได้ในขณะนั้นเพราะเรายังไม่มีการรวบรวมกันให้เป็นกลุ่มก้อนจึงได้แต่เฝ้าดูสภาพการณ์ที่เลวร้ายเรื่อยๆ มา

จนกระทั่ง น.อ.อานนท์เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชากำลังหมู่รบ ข้าพเจ้ามีโอกาสได้คลุกคลีใกล้ชิดมากกว่าเดิม และเมื่อได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่อๆ มาก็รู้สึกว่า ตรงกันในอันที่จะต้องดำเนินการล้มล้างรัฐบาลชุดจอมพล ป.พิบูลสงคราม เสีย และเห็นพ้องต้องกันว่าจะต้องรวบรวมกำลังคนขึ้นกระทำการดังที่คิด

ด้วยมูลเหตุทั้งหลายดังได้กล่าวมาแล้ว งานของเราก็เริ่มขึ้นอย่างช้า ๆ เพื่อให้มั่นคง และเพื่อป้องกันตัวมิให้พลาด เราไม่มีบัญชีหางว่าวแสดงชื่อใด ๆ พยายามคัดเลือกคนร่วมงานที่คิดว่าจะไว้วางใจได้อย่างดีที่สุด เพื่อมิให้ความลับรั่วไหล สายงานของเราขยายไปตามหน่วยต่างๆ หน่วยสำคัญที่สุดที่เราต้องการก็คือหน่วยนาวิกโยธินทุกหน่วยซึ่งในที่สุดเราก็ได้ น.ต.สุภัทร ตันตยาภรณ์ และ น.ต. ประกาย พุทธารี นายทหารพรรคนาวิกโยธินเป็นหัวหน้าสายด้านนั้น และเนื่องจากบุคคลทั้งสองสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบก จึงทำให้เราสามารถขยายสายงานต่อไปถึง พ.ต. วีระศักดิ์ และบุคคลอื่นๆ ในกองทัพบกและกองทัพอากาศ

เราเริ่มเตรียมวางแผนดำเนินการครั้งแรกในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2493 ซึ่งเป็นวันส่งทหารไปราชการสงคราม ณ ประเทศเกาหลีครั้งแรก ที่บริเวณท่าเรือคลองเตย คือ เข้าควบคุมตัวนายกรัฐมนตรี และบรรดาผู้มีอำนาจสั่งการในกำลังทัพทั้งสามตลอดจนตำรวจด้วย ในระหว่างกระทำพิธี ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีผู้คนไปส่งมากมายอาจก่อให้เกิดความตระหนกตกใจขึ้นได้ แต่เราก็จะจู่โจมเข้าควบคุมตัวโดยฉับพลันทางด้านหลัง ไม่ให้เอิกเกริก ส่วนทางด้านหน้าก็จะใช้กำลังทหารที่จะเดินทางไปเกาหลี ซึ่งสายงานของเราได้ติดต่อตกลงกันไว้เรียบร้อยนั่นเองเข้าสกัดกั้นไว้ทางด้านริมแม่น้ำ เรามีกำลังจากเรือรบซึ่งจอดเทียบท่าอยู่ในบริเวณนั้น พร้อมที่จะให้ความร่วมมือด้วย และเมื่อได้ตัวผู้ที่เราต้องการแล้วก็จะนำไปควบคุมไว้ที่กองสัญญาณทหารเรือ กำลังทหารนาวิกโยธิน ณ ที่นั้นก็จะเคลื่อนออกไปรักษาการณ์ตามจุดที่ได้รับมองหมายประสานงานกับกำลังนาวิกโยธินที่จะเคลื่อนมาจากฝั่งธนบุรี ต่อจากนั้นก็ได้กระจายคำสั่งออกอากาศที่สถานีวิทยุกระจายเสียง 2 ร.น. ห้ามหน่วยทหารบางหน่วยเคลื่อนย้ายกำลังออกจากที่ตั้ง แล้วจะได้ดำเนินการตามแผนต่อไป

เราประชุมกันอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ณ ตำบลเพลินจิตตั้งแต่เวลา 20.00 น. วันที่ 21 ตุลาคม จนกระทั่งเวลา 02.00 น. ของวันที่ 22 ตุลาคม จึงได้รับทราบจาก น.ต.ประกายว่า ตนยังไม่แน่ใจว่าจะนำกำลังทหารพรรคนาวิกโยธินที่ 4 และ 5 ออกมาได้ตามที่แจ้งไว้ ทำให้ที่ประชุมไม่พอใจ น.ต. ประกายเป็นอย่างอยิ่ง เพราะจะหาโอกาสอย่างนั้นได้ยากมาก เราจึงจำเป็นต้องระงับแผนการของเราด้วยเสียดาย

เวลา 18.00 น. ของวันที่ 22 ตุลาคม เราต้องพากันไปที่ท่าเรือคลองเตยเสมือนกับว่าเราไปร่วมงานพิธีนั้นตามปกติ เมือรถจี๊ปของเราผ่านแยกวิทยุไปแลเห็นหน่วยกำลังสารวัตรทหารเรือถืออาวุธเรียงรายจังก้าอยู่ตามจุดต่างๆ หนาตาผิดปกติ เราจอดรถใกล้ที่ชุมนุมทำพิธี แล้วก็เดินลัดเลาะเรื่อยๆ ไป จนได้อยู่ทางด้านหลังของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม และบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ไม่มีใครทำท่าทีว่าจะสนใจพวกเราเลย เรายืนอยู่ห่างจากตัวจอมพล ป.พิบูลสงคราม ประมาณสิบเมตร ต่างคนมิได้พูดจาอะไรได้แต่มองดูตากัน ทุกคนต้องรู้สึกเสียดายโอกาสอันงามนั้นเป็นอย่างยิ่ง เราดูอยู่จนเสร็จพิธีแล้วก็ขึ้นรถกลับ

ในวันนั้นเองได้ทราบจากสายงานของเรา การที่สารวัตรทหารเรือไปรักษาการณ์มากเป็นพิเศษนั้น เนื่องจากความลับของเราเกิดรั่วขึ้น นายทหารคนหนึ่งในสังกัดกรมสรรพาวุธทหารเรือนำความไปบอกกับนายทหารผู้ใหญ่คนหนึ่งว่า อาจเกิดเหตุร้ายขึ้นในระหว่างพิธีในวันนั้น นายทหารผู้ใหญ่ผู้นั้นจึงนำความไปเรียนท่านผู้บังคับบัญชาการทหารเรือ ท่านจึงสั่งให้เตรียมป้องกันดังกล่าว

พวกเรายังคลางแคลงต่อข่าวนั้น เพราะสันนิษฐานดูว่าถ้าท่านผู้บัญชาการทหารเรือทราบ ท่านก็ย่อมจะสืบสวนเอาความให้กระจ่างชัด และเรียกตัวพวกเราไปควบคุมตัวไว้ได้ แต่ที่ท่านมิได้ทำเช่นนั้น เราคาดคะเนว่าท่านคงจะยังไม่เชื่อแน่ จึงเตรียมป้องกันไว้ก่อน แล้วสอบสวนในภายหลัง และเนื่องจากข่าวนี้ เพื่อเป็นการไม่ประมาทเราเห็นร่วมกันให้เลิกติดต่อกับนายทหารประจำกรมสรรพาวุธผู้นั้นเป็นการตัดต้นไฟ

หลังจากวันนั้นแล้วเราก็วางตนสงบเรียบร้อยเพื่อรอโอกาสต่อไป การติดต่อระหว่างกันเป็นไปด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้น และก็ยังไม่มีวี่แววว่า ผู้ใหญ่จะจัดการกับพวกเราเลย

ในระยะต่อมา ก็มีการกำหนดแข่งขันรักบี้ฟุตบอลระหว่างทีมกองทัพบกกับทีมกองทัพเรือ ที่สถานกรีฑาแห่งชาติ ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2493 ในงานนี้นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของทั้งสามกองทัพได้รับเชิญไปชม และโดยปกติจะต้องไปกันอย่างคับคั่งแน่นอน เพราะถือเป็นวันแข่งขันที่สำคัญวันหนึ่ง เราวางแผนจู่โจมควบคุมตัวเช่นครั้งก่อน กำหนดจุดต่าง ๆ ที่จะดำเนินการในบริเวณสนามกีฬาไว้อย่างเรียบร้อย ตอนสายของวันนั้น สายงานทุกสายได้รับการนัดพร้อมกันหมดทุกจุด

แต่พอถึงเวลาประมาณ 14.00 น. ก่อนหน้าการแข่งขันเพียงสองชั่วโมงเท่านั้นมีข่าวแจ้งทางโทรศัพท์มาที่กองเรือรบ ว่าหน่วยกำลังด้านโรงเรียนตำรวจที่ปทุมวันมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ข้าพเจ้าจึงรีบขับรถยนต์ไปพร้อมกับเพื่อนผู้ร่วมงานเพื่อสังเกตการณ์นั้น ที่สี่แยกราชประสงค์ได้เห็นหน่วยกำลังตำรวจประมาณสองกาองร้อยมีอาวุธพร้อมเคลื่อนตัวไปตามถนนเพลินจิต แล้วเลี้ยวเข้าไปในบริเวณถนนหลังสวน สันนิษฐานว่าตำรวจอาจจะได้ข่าวระแคะระคายและเตรียมการป้องกันไว้ เราจึงรีบกลับมาที่กองเรือรบปรึกษาหารือกันแล้ว ตกลงให้ระงับแผนการคราวนี้ไว้อีก เพราะถ้าเป็นความจริงขึ้นว่าความลับของเรารั่วไหลอีกแล้ว ถึงเราจะปฏิบัติการไปก็ไร้ผล เพราะประการหนึ่งบรรดาผู้ใหญ่ที่รู้ล่วงหน้าก็จะไม่มาปรากฏตัว และอีกประการหนึ่งก็อาจจะมีการปะทะกันขึ้นได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีทั้งสองประการสู้ระงับไว้รอคอยโอกาสที่เหมาะสมในเวลาข้างหน้าจะดีกว่า

การพลาดทั้งสองคราวนี้ก่อให้เกิดความท้อแท้กังวลใจอย่างหนักแก่ผู้ร่วมงานของเรา บางคนหวาดเกรงว่าจะต้องถูกจับกุมตัว ต้องปลุกปลอบใจกันว่า ในสภาพที่เป็นอยู่นั้น ทางฝ่ายรัฐบาลยังไม่มีหลักฐานอันใดที่จะมากล่าวหาเราได้ แต่อาจจะสงสัยและเฝ้าสอดแนม ฉะนั้นพวกเราจะต้องระมัดระวังตัว และปกปิดความลับอย่าให้มีการรั่วไหลเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด

ระยะต่อมาเมื่อต้นปี พ.ศ. 2394 โรงเรียนเสนาธิการทหารบกกำหนดจะทำพิธีแจกเข็มเสนาธิปัตย์ และประกาศนียบัตร ณ ห้องประชุมกระทรวงกลาโหม งานจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะเป็นประธานในพิธี นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพทั้งสาม รวมทั้งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะต้องมาร่วมเป็นเกียรติในงานนี้ด้วยหากไม่ติดราชการจำเป็น เพราะโรงเรียนเสนาธิการทหารบกมิได้รับแต่เฉพาะนายทหารในสังกัดกองทัพบกแต่ส่วนเดียวเท่านั้น ยังรับฝายนายทหารอากาศ นายตำรวจ และนายทหารเรือเหล่านาวิกโยธินเข้าร่วมเรียนด้วย เมื่อสำเร็จการเรียนแล้วทางการจะประกอบพิธีแจกเข็มและประกาศนียบัตรให้อย่างมีเกียรติยิ่ง ซึ่งโดยปกติจะต้องกราบบังคมทูลเชิญองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาประทับเป็นประธาน แต่สำหรับในปี 2494 นั้น เนื่องจากพระองค์ท่านเสด็จไปประทับอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงกระทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีนั้น

ในครั้งนั้นตกลงกันว่า เรื่องการควบคุมตัวภายในกระทรวงกลาโหม มองให้เป็นหน้าที่ของสายงานฝ่ายทหารบก กำลังทหารเรือจากกองเรือรบจะจู่โจมเข้าจัดการปลดอาวุธหน่วยทหารรักษาการณ์ที่หน้ากระทรวงกลาโหมภายใต้การนำของข้าพเจ้าสายงานฝ่ายทหารบกอีกส่วนหนึ่งจะเคลื่อนกำลังจาก ร.พัน 1 รักษาพระองค์ เข้าตรึงพื้นที่รอบ ๆ กระทรวงกลาโหม งานจะเริ่มในตอนบ่ายประมาณ 14.30 น. จึงตกลงนัดสายงานทุกหน่วยพร้อมกันในเวลา 14.00 น. ตรง

การตกลงจะทำการครั้งนี้ ได้มีเวลาตระเตรียมล่วงหน้าหลายวัน เพื่อความสะดวกในการติดต่อปฏิบัติงาน ได้จัดการทำปลอกแขนสีแดงไว้แจกจ่ายแก่สายผู้ปฏิบัติงานในวันดังกล่าว การที่เลือกทำปลอกแขนสีแดงนี้ ก็เพื่อจะให้ละม้ายคล้ายคลึงกับหน่วยทหารสารวัตร ซึ่งรักษาการณ์อยู่ภายในตัวกระทรวงกลาโหมด้วย เวลาที่ผู้ปฏิบัติงานฝ่ายทหารบกเข้าไป โดยมีอาวุธไปด้วยก็จะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตแต่อย่างใด

ครั้นถึงวันและเวลากำหนดนัดหมาย แผนการต่างๆ ก็ล้มเหลวหมด เพราะหัวหน้าสายทหารบกได้แจ้งแก่ผู้ติดต่อว่า ผู้ปฏิบัติการในสายของตนที่จะเข้าทำการภายในกระทรวงกลาโหมมาไม่พร้อมเพียงกัน ฝ่ายเราที่กองเรือรบจึงสั่งระงับการปฏิบัติงานทันที อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าได้นั่งรถออกสำรวจดูที่บริเวณหน้ากระทรวงกลาโหม แล้วเลยไปทางหน้ากระทรวงการต่างประเทศ ได้แลเห็นทหารบกประมาณสองหมวด กำลังทำการฝึกซ้อมการใช้ปืนกลหนักอยู่ กำลังทหารบกส่วนนี้แหละคือกลังที่ทางสายงานทหารบกอีกสายหนึ่งจะนำเข้าปฏิบัติการตรึงพื้นที่รอบบริเวณกระทรวงกลาโหม

ข้าพเจ้าจอดรถอยู่ที่ประตูวัดพระเชตุพน แล้วเข้าไปข้างในวัดกับเพื่อนร่วมงานเพื่อพบกับผู้ปฏิบัติงานสายทหารบก ได้ต่อว่าในเรื่องที่ไม่ปฏิบัติงานตามนัด ก็ได้รับคำขอโทษและชี้แจงว่า นายทหารบกชั้นนายพันผู้จะเป็นหัวแรงดำเนินการภายในกระทรวงไม่มาตามนัด ทำให้บุคคลอื่นๆ เสียกำลังใจไม่กล้าเสี่ยงกระทำการ

เราทราบในระยะต่อมาว่า การระงับการปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นผลให้ผู้บังคับบัญชากำลังทหารส่วนที่กล่าวแล้วได้รับความลำบากมากเพราะในการฝึกซ้อมครั้งนั้นได้ขนเอาลูกปืนจริงออกมาฝึก จึงเป็นเหตุให้ถูกสงสัยและเพ่งเล็งในระยะหลังเรื่อยมา นอกจากนั้นยังได้ทราบอีกว่านายทหารบกผู้ไม่มาตามนัดเกิดการลังเลใจ เกรงจะปฏิบัติงานไม่สำเร็จ พลาดพลั้งไปก็จะลำบาก เพราะเคยพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง ในกรณีกบฏ 1 ตุลาคม 2491 เราจึงปรึกษาตกลงกันว่า ไม่ติดต่อกับนายทหารผู้นั้นต่อไป

จากนั้นเราก็เฝ้าหาโอกาสที่จะมีคนสำคัญ ซึ่งมีอำนาจสั่งการได้ทั้งสามกองทัพมารวมอยู่ ณ จุด ๆ เดียวกันดังกล่าวแล้วมาเรื่อยๆ แต่ทั้ง ๆ ที่พยายามสับเสาะก็ยังพลาดโอกาสไปอีกครั้ง คือในระหว่างเดือนเมษายนและพฤษภาคมซึ่งจำวันที่ไม่ได้ ทางราชการจัดส่งกำลังทหารไปประเทศเกาหลีอีก กระทำพิธีที่ท่าเรือคลองเตยดังเช่นเคย ในการนี้ทางราชการจัด ร.ล. อ่างทอง เป็นพาหนะรับทหารไปถ่ายลงเรือใหญ่ที่เกาะสีชัง เรารู้เฉพาะการเตรียมเรือ แต่ไม่ทราบกำหนดเวลาที่แน่นอน กว่าจะได้ทราบข่าวแน่ชัดจากกรมเสนาธิการทหารเรือ ก็ตกเอาตอนเที่ยงของวันนั้นว่าพิธีจะกระทำในตอนบ่าย 15.00 น. จึงทำให้เราไม่สามารถจะตระเตรียมการได้ทันท่วงที จำต้องปล่อยให้ผ่านไป

แต่เพื่อมิให้เป็นการเสียประโยชน์ไปเปล่าๆ ฝ่ายเราได้จัดคนไปคอยสังเกตการณ์ซึ่งข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งในจำนวนหกนาย เราไปถึงบริเวณที่ทำพิธีเมื่อประมาณ 14.30 น. ได้เห็นบรรดาผู้ไปส่งมีจำนวนน้อยมาก ทั้งนี้ก็เนื่องจากไม่มีข่าวประกาศแจ้งล่วงหน้านั่นเอง มีสารวัตรทหารเรือยืนรักษาการณ์อยู่จำนวนหนึ่ง ไม่หนาแน่นผิดตาและคึกคักเช่นครั้งก่อน

นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของทั้งสามกองทัพเริ่มทยอยมาเรื่อยๆ จนคับคั่งรวมตลอดทั้งผู้บัญชาการของทหารทั้งสามเหล่าด้วย ข้าพเจ้ามองสำรวจไปรอบ ๆแล้ว เห็นว่าคนสำคัญที่มีอำนาจสั่งการมารวมกันอยู่เกือบหมดทุกคน จะขาดก็แต่อธิบดีและรองอธิบดีกรมตำรวจเท่านั้นเอง เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งกระซิบบอกข้าพเจ้าเบาๆ ว่า โอกาสเหมาะๆ อย่างนี้หาได้ยากนักหนา ควรจะรีบกลับไปกองสัญญาณทหารเรือ เอากำลังออกมาจัดการควบคุมตัวไว้ในเรือเสียก่อน ข้าพเจ้าบอกว่าติดต่อสายงานทางด้านกองสัญญาณฯ ไม่ทันเสียแล้ว โดยเฉพาะรถกึ่งสายพานก็ยังไม่ได้เตรียมน้ำมันมาใส่ จำเป็นต้องอดใจไว้ก่อนเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งใจร้อน ต้องการเข้าควบคุมตัวด้วยกำลังพวกเราเพียงหกนายเท่านั้น เพราะในขณะนั้นเรามีปืนกลมือแมดเสนออยู่ในรถครบตามจำนวนคน ข้าพเจ้าบอกว่ายังทำไม่ได้เพราะไม่มีกำลังมากพอ ขืนทำก็ต้องใช้วิธีรุ่นแรง ก็ไม่มีการเข้าควบคุมตัวต้องยิงกันให้แหลกกันลงไปเลย ซึ่งวิธีการเช่นนี้ไม่ใช่วิธีการที่จะนำมาปฏิบัติ

เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้โอวาทเหล่าทหารผู้จะเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่เสร็จแล้วก็จะมีการประพรมน้ำพุทธมนต์ให้แก่ทหารเหล่านั้นก่อนขึ้นสะพานที่ทอดลงมาจากเรือ เมื่อทหารขึ้นเสร็จเรียบร้อยแล้วจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ก้าวเท้าตามขึ้นไป ผู้บัญชาการทหารทั้งสามเหล่า และนายทหารขั้นผู้ใหญ่ส่วนมากก็ติดตามขึ้นไปด้วย ภาพที่ข้าพเจ้ายังจำได้เสมอ พลเอกผิน ชุณหะวัณ (ยศในขณะนั้น) ผู้มีร่างกายทรุดโทรมก็พยายามไต่เต้าขึ้นไปตามสะพานที่ทอดชัน เพราะความสูงของเรือ ข้าพเจ้าคิดในใจว่าจัดการในตอนนี้ได้ ก็เท่ากับต้อนหมูเข้าเล้าอย่างไม่มีปัญหา

เมื่อเสร็จพิธีแล้ว เรากลับมาที่กองเรือรบพบกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ รวมทั้ง น.อ.อานนท์ ด้วย แจ้งข่าวให้ทราบโดยละเอียด ทุกคนต่างบ่นเสียดดายโอกาสอันงามไปตามๆ กัน

ข้าพเจ้าได้กล่าวในตอนก่อนแล้วว่า ทางด้านกองเรือรบมีการจัดหมู่รบขึ้นมาฝึกประสบการณ์อยู่ตลอดเวลานั้น ยังมิได้แจ้งให้ทราบชัดเจนว่าในเวลากลางคืนได้มีการตั้งเครื่องกีดขวางปิดถนนมหาราช ตอนปากทางเข้าท่าราชวรดิษฐ์ และตอนใกล้ท่าโรงโม่ด้วย ทั้งมีการตรวจค้นผู้ที่สงสัยว่าจะมีอาวุธติดตัวมา จึงทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารักษาการณ์ตามปกติ และที่ตั้งใจจะเข้าไปลองเชิงดู ดังเช่นในคืนวันหนึ่งเป็นคืนเดือนหงาย แสงเดือนกระจ่างสว่างขาวโพลนทั่วไปหมด ดึกแล้วประมาณ 01.00 น. มีรถจักรยานยนต์พ่วงข้างของตำรวจแล่นมาทางด้านท่าช้าง มีตำรวจแต่งเครื่องแบบอยู่บนรถสามนาย รถแล่นมาหยุดอยู่ที่งาแซงปิดกั้นถนน นายร้อยตำรวจเอกผู้ควบคุมรถขอผ่านเข้าไป ทหารที่รักษาการณ์ไม่ยอมให้ผ่าน นายตำรวจผู้นั้นจึงถามหาตัวผู้บังคับบัญชาและขอพบ พลทหารที่รักษาการณ์แจ้งว่า น.อ. อานนท์เป็นผู้บังคับบัญชาและเข้านอนแล้ว ตนไม่อาจไปปลุกมาได้ นายตำรวจผู้นั้นก็ยืนกรานจะขอพบผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจสั่งการได้ในระยะเวลานั้นคนใดคนหนึ่งรองลงมา ชุรอยพลทหารผู้นั้นจะรู้สึกรำคาญว่าเป็นการเซ้าซี้มากเกินไป จึงชี้ไปที่โคนต้นมะขามปากทางเข้าท่าราชวรดิษฐ์ว่า ผู้บังคับยัญชาอยู่ที่ใต้ต้นมะขามขั้นแหละให้เข้าไปพลเอง นาตำรวจผู้นั้นหลงกลหันไปดูตามที่บอกก็เห็นถนัดเพราะแสงเดือนกระจ่าง ว่า ณ โคนต้นมะขามนั้นหาได้มีผู้บังคับบัญชาคนใดคนหนึ่งไม่ หากเป็นปืนแมดเสน ขนาด 20 มม. ติดตั้งอยู่บนล้อวางจังก้าอยู่หนึ่งกระบอก นายตำรวจผู้นั้นไม่พูดจาประการใดสะบัดหน้าพรืด สั่งนายสิบตำรวจผู้ขับขี่นำรถเลี้ยวกลับไปตามทางเก่าที่เข้ามา

การกระทบกระทั้งทำนองนี้มีอยู่บ่อยๆ ทำให้ น.อ. อานนท์ถูก พล.ต.ต.เผ่า ศรียานนท์ (ยศในขณะนั้น) รองอธิบดีกรมตำรวจมีหนังสือฟ้องร้องมาที่กองเรือรบหลายครั้งหลายหน แต่ท่านผู้ใหญ่ทางฝ่ายกองเรือรบก็ไม่มีคำสั่งให้ยกเลิกการรักษาการณ์หรือการตรวจค้นแต่อย่างใด น.อ.อานนท์ก็สั่งปฏิบัติการไปตามปกติ ทางการกรมตำรวจจะรู้สึกอย่างไรในตัว น.อ.อานนท์นั้นก็เหลือจะเดาได้ แต่ผลปรากฏว่าที่บ้านของ น.อ.อานนท์ ตำบลสี่แยกราชวิถี มีตำรวจนอกเครื่องแบบไปเมียงมองอยู่เสมอ

Share the Post: