น.ต.มนัส จารุภา
ในเรือมี น.อ.อานนท์ – พ.ต.วีระศักดิ์ – ร.ท.สมหมาย – ร.ท.ปัญญา ร.ท.วีระ และ ข้าพเจ้ากับทหารประจำกระเชียงแปดนาย ข้าพเจ้านั่งท้ายเรือกราบขวาชิดกับพลกระเชียงหมายเลข 1 น.อ.อานนท์นั่งตรงกลางลำทางซ้ายมือของข้าพเจ้า เมื่อเรือโบตผละออกจากบันได้ซ้าย ข้าพเจ้าหันไปดูบนเรือและเห็นคนประจำเรือที่ยืนอยู่ในป้อมปืนท้ายเรือจ้องมองดูพวกที่อยู่ในเรือด้วยสายตาละห้อย เขาคงจะคิดว่าพวกเราหนีเอาตัวรอดไปแล้วเป็นแน่ และรูปการก็แสดงให้เขาคิดเช่นนั้นเสียด้วย ที่แท้จริงแล้วความคิดเรื่องหลบหนียังไม่เคยผ่านเข้ามาในสมองของพวกเราในขณะนั้นเลยแม้แต่น้อย
พอเรือโบตแล่นผ่านพ้นหัวเรือมุ่งตรงไปยังปากคลองบางกอกใหญ่ ห่างจากปากคลองประมาณ 20 เมตร ก็มีกระสุนปืนจากฝั่งพระนครด้านกระทรวงสหกรณ์เก่า มาตกหนาแน่นอยู่รอบๆ เรือ ก็มีกระสุนปืนจากฝั่งพระนครด้านกระทรวงสหกรณ์เก่ามาตกหนาแน่นอยู่รอบๆ เรือ กระสุนนัดหนึ่งถูกคนกระเชียงเลข 1 ที่นั่งตีกระเชียงอยู่ชิดข้าพเจ้าที่ราวนมซ้ายฟุบคว่ำมาหาข้าพเจ้าทันที พลกระเชียงทางหัวเรืออีกนายหนึ่งถูกกระสุนที่น่องขวา น.อ.อานนท์ร้องสั่งให้ทุกคนโดดลงน้ำเอาเรือโบตบังกระสุนปืน เราพยายามลากเรือโบตเข้าสู่ปากคลองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเท้าของเราหยั่งถึงโคลน จึงลากเรือได้ถนัดและรวดเร็วขึ้น กระสุนยังคงโปรยปรายมาทีเรือโบต ทั้ง ๆ กำลังฝ่ายทหารเรืออยู่บนป้อมวิชัยประสิทธิ์ได้ทำการยิงยับยั้งต้านทานไว้ เมื่อเรือถึงท่าน้ำวัดท้ายตลาด ได้จัดการส่งพลทหารที่ถูกยิงน่องขึ้นไปก่อน คนอื่นๆ ก็ได้ติดตามขึ้นไปบนเรืออีกครั้งหนึ่ง ตรวจดูชีพจรของคนกระเชียงหมายเลข 1 ที่ถูกยิงปรากฏว่าชีพจรหยุดเต้นเสียแล้ว และเนื่องจากยังมีการระดมยิงเข้ามาในคลองอยู่เรื่อยๆ นายทหารผู้หนึ่งซึ่งอยู่บนเขื่อนท่าน้ำได้ร้องเตือนให้ข้าพเจ้ารีบขึ้นจากเรือโดยเร็ว ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องโดดลงน้ำอีกครั้งหนึ่ง ในใจคิดว่า “เพื่อนเอ๋ย นอนอยู่ในเรือก่อน ศพของเพื่อนต้องมีคนจัดทำให้แน่ๆ” และโดยเกรงว่าเรือโบตจะลอยต่อไปจึงจัดการผูกเชือกหัวเรือไว้กับเสาสะพานท่าน้ำ แล้วก็รีบติดตามพรรคพวกไป เสื้อกางเกงและรองเท้าเปียกชุ่มโชก ไม่เปียกก็แต่หมวกที่สวมอยู่บนศีรษะเท่านั้น สมุดโน้ตที่มีลายมือของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เปียกโชก พลิกดูแล้วหมึกเลือนรางไปเกือบหมดจนอ่านไม่ได้ความ
ข้าพเจ้ารอดตายมาอย่างหวุดหวิด กระสุนพลาดจากทรวงอกของข้าพเจ้าเพียงครึ่งเมตรเท่านั้น ยังรู้สึกเสียใจไม่หายที่มีส่วนกระทำให้เพื่อนทหารที่รักต้องเสียชีวิตไป ข้าพเจ้าไม่เคยลืมภาพที่ติดหูติดตานี้เลยและจะไม่ลืมไปจนตาย
เมื่อได้วิ่งลัดเลาะไปตามทางเดินในวัดท้ายตลาด จนทะลุเข้าทางด้านหลังของกรมเสนาธิการทหารเรือแล้ว ก็ได้ไปสมทบกับพวกที่รออยู่ที่ห้องชั้นล่างของกรมเสนาธิการ น.อ.อานนท์ไม่อยู่ ไต่ถามได้ความว่า ขึ้นไปพบกันนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่บนท้องพระโรงนั่งรออยู่ประมาณสิบนาที ก็มีลูกระเบิดยิงมาตกที่สนามหญ้า ระหว่างหน้ากรมเสนาธิการ นั่งรออยู่ประมาณสิบนาที ก็มีลูกระเบิดยิงมาตกที่สนามหญ้า ระหว่างหน้ากรมเสนาธิการกับท้องพระโรงเป็นระยะๆ เมื่อเห็นว่าไม่ปลอดภัยจึงพากันไปหลบอยู่ที่บริเวณโบสถ์วัดท้ายตลาดอยู่จนการยิงสงบไป แล้วย้อนกลับมาที่กรมเสนาธิการอีกก็ยังไม่พบกัน น.อ.อานนท์
ร.ท.สมหมาย ร.ท.ปัญญา ร.ท.วีระ ถามข้าพเจ้าว่าจะทำอย่างไรกันต่อไปดี ข้าพเจ้าเห็นว่าสถานการณ์ร้ายแรงขึ้นทุกขณะ ไม่มีการแก้ไขใดๆ แล้ว จึงบอกให้บุคคลทั้งสามหลบออกไปจากเขตพระราชวังเดิมเสีย แล้วให้หาทางที่ปลอดภัยเอาเอง ข้าพเจ้าจะคอยพบ น.อ.อานนท์เพื่อฟังผลต่อไป บุคคลทั้งสามพยายามชักชวนให้ข้าพเจ้าไปด้วยแต่เมื่อได้รับคำปฏิเสธก็พากันออกเดินทางไป
เมื่อทั้งสามคนจากไปแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินไปที่หน้าท้องพระโรงก็พบกับ น.อ.อานนท์ ปรากฏว่ายังไม่ได้เจรจากับผู้ใหญ่ ขณะนั้นมีนาวาเอกคนหนึ่ง (ขอสงวนนามเดินร้องไห้มานั่งที่ใต้ถุนพิกุลใหญ่ด่า น.อ.อานนท์ ว่าทำให้กองทัพเรือฉิบหาย น.อ.อานนท์ นั่งนิ่งเฉยไม่โต้ตอบ สักครู่นาวาโทพจน์ จิตรทองก็เดินเข้ามา ข้าพเจ้าถามว่าจะไม่ช่วยต้านทานบ้างหรือ อาวุธดีๆ ของหน่วยยานยนต์ก็มีมากมาย น.ท.พจน์ ตอบว่าท่านผู้บัญชาการไม่ได้สั่งให้ใช้ก็เอาไปไม่ได้ เท่าที่ทำอยู่ก็เพียงแต่ป้องกันตัวเท่านั้น
น.ท. พจน์พบกับข้าพเจ้าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เขาได้เข้าศึกษาในโรงเรียนนายเรือก่อนข้าพเจ้าสองรุ่น เป็นนักเรียนนายเรือรุ่นเดียวกับ ร.อ.วัชรชัย ชัยสิทธิเวช ซึ่งต้องหาในคดีลอบปลงพระชนม์ ร.8 ในด้านการงาน น.ท.พจน์กับข้าพเจ้าเคยทำงานร่วมกันมาหลายปีในสังกัดหมวดเรือดำน้ำ ในด้านส่วนตัวก็สนิทสนมกันมากตลอดทั้งครอบครัว แต่ถึงกระนั้นข้าพเจ้าไม่เคยปริปากบอกเล่าให้ทราบถึงการกระทำของคณะกู้ชาติ เพราะเห็นว่าในระยะหลัง น.ท.พจน์ไปประจำอยู่หน่วยยานยนต์ซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ และอยู่ใกล้ชิดกับท่านผู้บัญชาการมาก ข้าพเจ้าเกรงว่าความลับจะรั่วไหลเข้าหูท่านผู้ใหญ่ฉะนั้นจึงยืนยันได้ว่า น.ท.พจน์มิได้ร่วมรู้เห็นการปฏิบัติงานของคณะกู้ชาติเลย
ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็เดินเลยเข้าไปในท้องพระโรง เหลือบไปเห็นห่อก๋วยเตี๋ยวที่มีคนรับประทานเหลือเอาไว้หลายห่อบนโต๊ะเรียน จึงนึกขึ้นได้ว่า ตั้งแต่รับประทานอาหารมื้อสุดท้ายที่ร้านไชยณรงค์เมื่อตอนกลางวันที่ 29 แล้ว ยังไม่มีอาหารใดตกถึงท้องเลย ทำให้บังเกิดความหิวขึ้นมาทันที แลดูเห็นมีส่วนเหลืออยู่บ้าง ก็จัดการรับประทานอย่างเร่งรีบโดยไม่ได้คิดรังเกียจว่าเป็นเศษอาหารที่ใครไม่ทราบรับประทานเหลือไว้ ลงมือรับประทานไปได้สักหน่อยก็มีกระสุนปืนยิงมาระเบิดหนาแน่น จำเป็นต้องออกจากท้องพระโรงไปหาที่กำบัง ทันใดนั้นข้าพเจ้าเหลือบแลเห็นปืนใหญ่ใส่ล้อขนาด 47 มม. กระบอกหนึ่งตั้งจุกอยู่ที่ช่องประตูระหว่างศาลพระเจ้าตากสินกับกรยุทธศึกษาทหารเรือเก่าไม่มีคนประจำเรือ จึงวิ่งไปที่ปืนตรวจดูเห็นอยู่ในสภาพปกติ ใช้การได้ มีกระสุนปืนอยู่ในหีบกระสุนอีกประมาณเจ็ดแปดนัด กำลังคิดว่า จะจัดการยิงต่อสู้กับปืนที่ฝั่งตรงข้ามอย่างไรดี ก็มีพนักงานคนหนึ่งเข้ามาขันอาสาช่วย แต่เนื่องจากเป็นพลเรือนไม่เคยฝึกหัดใช้ปืนใหญ่ จึงต้องสอนวิธีบรรจุลูกปืนให้อย่างคร่าวๆ ข้าพเจ้าเป็นคนเล็งยิง ยิงไปได้ห้านัดก็มีเสียงตะโกนเรียกชื่อข้าพเจ้าให้หยุดยิง หันไปดูก็แลเห็น พล.ร.ต.แชน ปัจจุสานนท์ เป็นผู้สั่ง ข้าพเจ้าปฏิบัติตามแล้วก็ไปนั่งในที่กำบังหลบกระสุนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
เวลาใกล้จะถึง 15.00 น. ได้ยินเสียงเครื่องบินบินฉวัดเฉวียนไปมาอยู่สองสามเที่ยวยิงปืนกราดลงมา ต่อมาได้ยินเสียงระเบิดในทิศทางที่ ร.ล.ศรีอยุธยาจอดอยู่ เมื่อได้วิ่งไปปีกำแพงข้างศาลพระเจ้าตากสิน มองลอดใบเสมาออกไปดู ร.ล.ศรีอยุธยา ก็แลเห็นควันพุ่งออกมาช่องทางเดินระหว่างห้องพักนายพลกับห้องโถงนายพล แสดงว่า ร.ล.ศรีอยุธยาถูกทิ้งระเบิด แรกทีเดียวข้าพเจ้าคิดว่า ลำพังแต่ลูกระเบิดขนาดเล็กที่เครื่องบินขนาดเบาเช่นเครื่อง เอ.ที.6 เอามาทิ้งนั้น คงไม่มีพิษสงอะไรมากนักแต่ปรากฏว่าเกิดเพลิงไหม้ขึ้นในเรือและมีเสียงระเบิดติดตามมาด้วย สันนิษฐานได้ว่าไฟคงลุกลามไปมากแล้วทำให้ลูกปีนที่ข้าพเจ้าสั่งให้เอาไปกองไว้ที่หน้าห้องพักนายพลเกิดระเบิดขึ้นจนทำให้จัดการดับเพลิงไม่ทัน ซึ่งเมื่อได้สอบถามในภายหลังต่อมาก็ไม่ผิดพลาดที่คาดคะเนไว้
ไฟลุกลามมากขึ้นทุกขณะ ควันสีดำพลุ่งขึ้นตลบ หอบังคับการและสะพานเดินเรือ เปลวไฟสีแดงแลบออกมาเป็นระยะ เป็นภาพที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสลดใจอย่างสุดซึ้งเรือธงมิ่งขวัญของกองทัพเรือไทยกำลังถึงกาลพินาศแล้ว คนประจำเรือคงอยู่ในเรือต่อไปอีกไม่ได้ จำเป็นต้องสละเรือใหญ่อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าลงจากกำแพงวิ่งลัดเลาะออกไปที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ บนเชิงเทินป้อมมีทหารขึ้นประจำตามใบเสมา ทำการยิงโต้ตอบกับทางฝั่งตรงข้ามเป็นระยะๆ
มองจากป้อมไปที่ ร.ล.ศรีอยุธยา เห็นคนประจำเรือเริ่มมอออกันอยู่ที่บริเวณบันไดซ้าย แล้วก็ทยอยกันโดดลงไปในน้ำ ว่ายมายังสะพานท่าน้ำพระราชวังเดิม พอกลุ่มคนเหล่านั้นว่ายพ้นหัวเรือก็ถูกปืนเล็กยาวและปืนกลยิงกระหน่ำเช่นเดียวกับที่ตัวของข้าพเจ้าและพรรคพวกถูกกระหน่ำมาแล้วในเรือโบต ข้าพเจ้าร้องบอกให้ทุกคนที่ประจำปืนอยู่บนป้อมยิงต้านทานไว้โดยไม่ต้องเสียดายลูกปืน เราสามารถยับยั้งการยิงจากพื้นดินไว้ได้มาก แต่ไม่อาจจะยับยั้งการยิงกราดจากเครื่องบินที่เฝ้าโฉบลงมาอยู่เรื่อยๆ
เมื่อบรรดาคนที่ว่ายน้ำเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ป้อม จึงได้เห็นว่า จอมพล ป.พิบูลสงครามก็รวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย จอมพลสวมเสื้อชูชีพพยุงตัวมา มีนายทหารว่ายขนาบข้างสองนาย คือ ร.ท.ชอบ ศิริวัฒน์ (ปัจจุบันนาวาตรี) และ ร.ต.มาโนช ทุมมานนท์ (ปัจจุบันเรือเอก) ข้าพเจ้าเยี่ยมหน้าไปที่เสมา ตะโกนบอกให้พาตัวเข้าไปใต้สะพานน้ำเพื่อบังกระสุนปืน ทันใดนั้นเองกระสุนปืนนัดหนึ่งก็กระทบใบเสมาด้านซ้าย ปูนแตกกระเด็นมาโดนใบหน้าแถบซ้ายทำให้ต้องรีบเบี่ยงศีรษะไปทันที นี่ก็เป็นอีกวาระหนึ่งที่ข้าพเจ้ารอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด
ในบรรดาผู้สละเรือใหญ่ว่ายน้ำมา มีผู้ถูกกระสุนปืนจมน้ำหายไปหนึ่งนาย คือเรือโทแก้ว บุญช่วย นายทหารฝ่ายพลาธิการ ทุกคนที่รอมาเมื่อขึ้นบกได้ก็แยกย้ายกันไป ข้าพเจ้ากลับมาที่ท้องพระโรงอีกครั้ง คราวนี้ข้าพเจ้าได้พบกับ ร.ต.อ.สิงห์โต และ พ.ท.สนิท ร.ต.อ. สิงห์โต มองดูหน้าข้าพเจ้าด้วยใบหน้าที่ไม่สู้จะสบายใจนัก แน่ละ, มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าหวาดเสียวอยู่มาก ทั้งสองคนกำลังผลัดเสื้อผ้าใหม่อยู่ สอบถามได้ความว่ามีผู้นำจอมพล ป.พิบูลสงครา ไปทางตึกที่ทำการกองทัพเรือ ข้าพเจ้าจึงเดินกลับไปยังตึกที่กล่าวพล น.อ.อานนท์และข้าพเจ้าเข้าไปหา แต่ พล.ร.ต.แชน พูดสกัดกั้นมิให้เข้าไป และบอกให้ไปอยู่ทางอื่น เราทั้งสองคนเดินเลี่ยงไปอยู่ที่บริเวณตึก ที่เรียกกันว่า เก๋งพระปิ่นเกล้าฯ ข้าพเจ้าบอก น.อ.อานนท์ว่าไม่สมควรจะอยู่ในที่นั้น ควรหาทางมุ่งลงใต้ไปตั้งมั่นสู้รบต่อไป น.อ.อานนท์บอกว่า ลงไปทางใต้ไม่ได้แล้ว เพราะท่านผู้บัญชาการได้มีคำสั่ง มิให้หน่วยเรือหรือกำลังทางบก ที่กรมสรรพาวุธทหารเรือบางนา และกำลังที่กองโรงเรียนชุมพลดำเนินการใดๆ โดยปราศจากคำสั่งของท่าน แต่จะลองเจรจาดูก่อนข้าพเจ้าก็อดใจรอ น.อ.อานนท์ และเดินขึ้นไปที่ห้องท้องพระโรงอีกครั้งหนึ่ง
ข้าพเจ้าเดินมาสักครู่ ก็มีรถเสบียงนำเอาข้าวและเครื่องกระป๋องมาแจก จึงเดินเข้าไปตักข้าวใส่ผ้าเช็ดหน้าห่อมัดไว้กับเอว และเอาเครื่องกระป๋องมาสองกระป๋องตั้งใจจะเอาไว้รับประทาน เพราะความหิวโหยยังไม่บรรเทาลง หลังจากนั้นได้พบกับ น.ต.ประกายซึ่งได้บอกว่า พ.ต.วีระศักดิ์รออยู่ที่หลังกรมเสนาธิการ รบเร้าให้ถอนตัวออกจากเขตพระราชวังเดิม ข้าพเจ้าขอให้รอพบ น.อ.อานนท์เสียก่อน สักครู่หนึ่งต่อมารู้สึกว่ามีนายทหารเรือยศชั้น ร.ท.หนึ่งนาย จ.ท. หนึ่งนาย เดินติดตามอยู่ตลอดเวลาเมื่อแกล้งเดินหลบไปหลบมา ทั้งสองคนก็ยังคงเป็นเงาตามตัวอยู่เรื่อยไป เมื่อลับมุมเก๋งพระปิ่นเกล้าฯ ด้านหลังซึ่งเป็นที่ปลอดจากสายตาคน นายทหารผู้นั้นกรากเข้ามาหาบอกให้ข้าพเจ้าหลบออกไป อย่าอยู่ในที่นั้นเลย ข้าพเจ้าตอบว่าไม่เคยคิดหนี เมื่อทำมาแล้วก็จะต่อสู้ไปจนกว่าจะถึงที่สุด นายทหารผู้นั้นเร่งเร้าต่อไปอีกสองสามครั้ง ข้าพเจ้าก็ยืนตามคำเดิม ยังคงเดินไปมาเพื่อรอฟังผลจาก น.อ.อานนท์ อยู่ในบริเวณนั้น
เวลาล่วงไปประมาณ 18.00 น. เศษ ใกล้จะพลบค่ำ นายทหารผู้เดินติดตามอยู่ตลอดเวลา เข้ามาชิดตัวข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง รบเร้าเร่งรัดให้ น.อ.อานนท์ และข้าพเจ้ารีบหลบหนีออกไป จึงทำให้ฉุกใจขึ้นมาว่า นายทหารผู้นี้ ชะรอยผู้ใหญ่คงจะจัดส่งมาควบคุมดูการเคลื่อนไหวของพวกข้าพเจ้า แล้วคงจะจัดการอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นแน่ ข้าพเจ้าเดาเอาเองว่าคงจะมีการเจรจากันระหว่างผู้ใหญ่ฝ่ายทหารเรือกับฝ่ายรัฐบาลผู้ปราบปราม ตกลงจับกุมผู้กระทำการครั้งนี้ส่งให้รัฐบาล ฉะนั้นการที่จะอยู่ต่อไปนั้นก็จะเป็นทางให้เสียอิสรภาพ สมควรหลบออกจากเขตพระราชวังเดิม แล้วไปคิดแก้ไขเหตุการณ์เอาข้างหน้า
เมื่อเร่งรีบตามตัว น.อ.อานนท์ จนพบ เล่าเหตุการณ์ตลอดจนความคิดเห็นให้ฟังแล้ว น.อ.อานนท์เห็นชอบด้วย จึงไปตามตัว น.ต.ประกาย พ.ต.วีระศักดิ์ มาสมทบกันแล้วรุดออกไปทางวัดท้ายตลาด โดยปราศจากผู้ใดขัดขวางหรือติดตามไป เมื่อถึงศาลาท่าน้ำเราก็ถอดเสื้อออกหุ้มห่ออาวุธปืนและหมวก นั่งรอเรือที่ผ่านไปมา ครู่เดียวก็มีเรือจ้างลำหนึ่ง แจวผ่านท่าน้ำไปส่งคนที่บางกอกใหญ่ แล้ววกกลับมา เราจึงร้องเรียกให้และเข้ามารับ คนเรือไม่ตอบแจวเรือล่องตามน้ำลับหายไป กำลังคิกันว่าเรือคงจะไม่กล้ารับเพราะกลัว และคงจะไม่มีเรืออื่นผ่านมาในระยะเวลาใกล้นี้อีกแล้ว ถ้าจะต้องว่ายน้ำไปขึ้นที่ท่าวัดกัลยาณมิตรเป็นแน่ ขืนอยู่ช้าผู้ใหญ่คงจะส่งคนติดตามมาจับตัวไปก็พอดีเรือหวนกลับมา จึงพากันลงเรือแล้วบอกคนเรือให้แจวเข้าคลองไป พ.ต.วีระศักดิ์มีบ้านญาติอยู่ที่ใกล้สะพานเจริญพาสน์ จึงตกลงใจเป็นผู้นำเราเข้าพักพิงที่บ้านนั้นเป็นการชั่วคราวก่อนที่จะขยับขยายทางข้างหน้าต่อไป
มืดสนิท! เมื่อเราไปถึงบ้านญาติของ พ.ต.วีระศักดิ์ มืดเหมือนกับความรู้สึกของพวกเราในยามนั้น พ.ต.วีระศักดิ์เจรจากับท่านเจ้าของบ้านเป็นที่เข้าใจกันแล้ว ก็รีบพาเราขึ้นไปพักอยู่ที่ห้องพระชั้นบน หลังจากนั้นก็จัดหาอาหารมาให้รับประทาน ข้าพเจ้านึกถึงข้าวที่พกเอามาได้จึงหยิบเอาออกมา เจ้าของบ้านท่านบอกห้ามไม่ให้รับประทานเพราะมันเย็นชืดเสียแล้ว จึงมอบข้าวกับเครื่องกระป๋องให้ท่านไปแล้วต่างก็บริโภคอาหารที่ท่านจัดหามาให้ร้อนๆ กันอย่างเต็มที่สมกับที่หิวโหยและเหน็ดเหนื่อยมา หลังการรับประทานอาหาร ต่างก็ปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ส่วนรวมเห็นพ้องต้องกันว่า เนื่องจากเราเสียแผนมาตั้งแต่ต้นจนไม่สามารถรวบรวมกำลังกันได้ โดยเฉพาะขาดผู้นำที่จะดำเนินการต่อไป ผู้นำที่สามารถสั่งการให้หน่วยกำลังทั้งทางบก และเรือเคลื่อนกำลังได้ ตลอดทั้งฝ่ายเราก็ถูกผู้ใหญ่สั่งสกัดกั้นการปฏิบัติงานไว้ทุกด้าน หากเราปรากฏขึ้น ณ ที่ใด ก็จะถูกจับกุมตัวส่งให้แก่ฝ่ายรัฐบาล มีหนทางเดียวที่จะต้องกระทำคือหลบหนีออกไปนอกประเทศไทย แต่จะไปทางใดเล่า เส้นทางบกด้านฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทยตั้งแต่จังหวัดชลบุรีไปจดจังหวัดตราด เส้นทางบกด้านฝั่งทะเลตะวันตกของอ่าวไทยไปทางใต้ และเส้นทางด้านทะเลนั้นไม่ต้องพิจารณาถึง เพราะไม่มีข้อสงสัยอันใดว่าเราจะไม่ถูกสกัดจับตัวได้ ใครๆ ก็ต้องนึกว่าทหารเรือก็ต้องมุ่งออกทะเลเช่นเดียวกับปลาก็ต้องลงน้ำ แต่ครั้งนี้เราขอเป็นปลาหมอแถกเหงือกไปบนดิน พ.ต.วีระศักดิ์เสนอให้เดินทางไปทางเหนือ ทางด้านจังหวัดเชียงราย เพราะมีเพื่อนนายทหารบกอยู่คนหนึ่งซึ่งสามารถจะให้ความสะดวกได้ เพื่อนคนนั้นรู้จักคุ้นเคยกับพ่อค้าที่จังหวัดเชียงรายและที่นครเชียงตุงดี เราควรจะเจาะออกทางด้านนี้ ทุกคนเห็นดีด้วย เราต้องออกไปทางด้านที่ไม่มีใครคาดถึง เมื่อตกลงใจแน่นอนแล้ว พ.ต.วีระศักดิ์จึงรีบเขียนจดหมายถึงภรรยาในทันใดนั้น ให้ไปติดต่อกับเพื่อนที่กล่าวถึงโดยด่วน
คืนนั้นข้าพเจ้านอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่อ่อนเพลียทั้งกายและใจ เสียงปืนกลปืนเล็กยาวยิงโต้ตอบกันเป็นระยะๆ ตลอดทั้งคืน ความคิดคำนึงของข้าพเจ้าย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมานึกถึงความล้มเหลวของแผนการ เพราะไม่ปฏิบัติงานตามที่ตกลงกันไว้ นึกถึงการเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของประเทศชาติ ของประชาชน ตลอดจนผู้ที่ต้องพลอยประสบเคราะห์กรรมไปด้วย และนึกถึงพลกระเชียงที่สิ้นชีวิตไปต่อหน้าต่อตาภาพทุกภาพหลอกหลอนความสำนึกอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าคาดไม่ถึงว่าจะได้ประสบกับภาพเหล่านี้ เพราะคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนการโดยไม่ต้องมีการสู้รบที่รุนแรงยังผลให้สูญเสียซึ่งชีวิตทรัพย์สินของประชาชนและของประเทศชาติ แต่อย่างไรก็ดี ภาพสุดท้ายที่นึกถึงก็คือลูกเล็ก ๆ ที่น่ารักสองคน คนหนึ่งอายุห้าขวบ อีกคนหนึ่งไม่เต็มสองขวบกำลังช่างเล่นช่างประจบ และภรรยาของข้าพเจ้าที่มีกำลังครรภ์แก่ นี่ข้าพเจ้าจะต้องจากครอบครัว จากประเทศชาติที่รัก และจากสิ่งแวดล้อมที่เคยชินทั้งมวลไปจริงๆ แน่ละหรือ ข้าพเจ้านอนต่อไปไม่ได้ต้องลุกขึ้นเขียนจดหมายบอกภรรยาสั้นๆ ว่า ข้าพเจ้าจำเป็นต้องจากไปก่อน ให้เข้าจัดการขายบ้านที่อยู่เสียหรือจะให้เช่าก็แล้วแต่ใจ เพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงครอบครัวแล้วกลับไปอยู่กับบิดามารดาของเขาไปพลางก่อน ถ้าไม่ตายเราจะต้องได้พบกันอีก
รุ่งเช้าวันที่ 1 กรกฎาคม ภรรยาของ พ.ต.วีระศักดิ์ ได้มาพบและแจ้งให้ทราบว่าเพื่อของ พ.ต.วีระศักดิ์ แนะนำให้เดินทางโดยขบวนรถด่วนสายเหนือในวันนั้น ให้ไปลงที่สถานีลำปาง จับรถยนต์ต่อไปยังจังหวัดเชียงราย พร้อมกับมอบจดหมายแนะจำตัวสำหรับไปติดต่อกับพ่อค้าผู้หนึ่งที่จังหวัดเชียงรายให้ไปด้วย เราจัดการรวบรวมเงินของแต่ละคนที่มีอยู่ในขณะนั้น มอบให้ภรรยาของ พ.ต.วีระศักดิ์ ไปจัดซื้อตั๋วโดยสารรถไฟ นอกจากนั้นได้ให้คนในบ้านไปจัดหาซื้อยาที่จำเป็นต้องใช้ในการเดินทาง มียาประเภทแก้ท้องร่วง แก้ปวดหัว ตัวร้อน แก้ไข้จับสั่น และยาใส่บาดแผลสดเป็นต้น ตลอดทั้งให้ซื้อหมวกสักหลาดมาสี่ใบ เสื้อเชิ้ตแขนสั้นอีกสี่ตัว เพื่อใช้แต่งกายเดินทางไป ท้ายที่สุดเรามีเงินเหลือรวมด้วยกันทั้งหมดประมาณหนึ่งพันบาทเศษ ซึ่งเป็นก้อนสุดท้ายที่นำติดตัวไป
เวลาประมาณ 16.00 น. เศษ ทุกคนพร้อมที่จะออกเดินทาง เราอยู่ในสภาพใหม่ที่มองดูแปลกตาไปบ้าง เราทิ้งเครื่องแบบเดิม ซึ่งมีเสื้อและหมวกไว้ที่บ้านนั้นรวมทั้งอาวุธปืนที่ติดตัวมา โดยขอร้องให้ท่านเจ้าของบ้านทำลายเสียเมื่อเราไปแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นภัยแก่ตัวของท่าน เราได้ล่ำลาท่านด้วยความรู้สึกในพระคุณ และท่านก็ได้ให้พรแล้วเราก็ตั้งใจเดินทางออกจากบ้าน ข้ามไปขึ้นรถเมล์สายตลาดพลู – วัดไตรมิตร โดยแยกออกเป็นสองหมู่ น.อ.อานนท์กับข้าพเจ้า พ.ต.วีระศักดิ์ กับ น.ต.ประกาย
เหตุการณ์บนถนนยามนั้น นับว่าสงบเรียบร้อยแล้ว บนรถเมล์มีผู้โดยสารแน่นพอสมควร น.อ.อานนท์ได้ที่นั่งหลังคนขับ ข้าพเจ้ายืนโหนอยู่ข้างๆ รถแล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งข้ามสะพานพระพุทธยอดฟ้า ข้าพเจ้าอดใจไม่ได้ที่จะไม่เหลียวไปดูที่กลางแม่น้ำ ได้เห็น ร.ล.ศรีอยุธยาเพียบแประน้ำ มีกลุ่มควันสีดำลอยอยู่เบื้องบน กำลังรอวาระสุดท้ายที่จะจมลงสู่ใต้ท้องน้ำ รู้สึกสลดหดหู่ใจ จนต้องรีบเบือนหน้าหนี และเมื่อก้มลงมองดูหน้า น.อ.อานนท์ซึ่งสวมแว่นตากันแดดนั่งจ้องตรงไปข้างหน้า ก็แลเห็นน้ำตาเอ่ออยู่ที่กระบอกตาทั้งสองข้าง ทหารเรือผู้ใดเล่าจะไม่รู้สึกเสียดายเรือ และโดยเฉพาะเรือซึ่งเป็นมิ่งขวัญของราชนาวีไทยลำนี้ ทั้งโดยส่วนตัว น.อ.อานนท์เองเล่าก็เคยดำรงตำแหน่งอันมีเกียรติเป็นผู้บังคับการเรือลำนี้มาก่อนด้วย
รถแล่นผ่านโรงไฟฟ้าแลเห็นคนมุงล้อมรอบรถหุ้มเกราะของตำรวจ เราทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อเหตุการณ์ วางหน้าสงบจนกระทั่งถึงปลายทางที่หน้าวัดไตรมิตรลงเดินปะปนไปกับฝูงชน มุ่งสู่สถานีรถไฟหัวลำโพง สักครู่หนึ่ง พ.ต.วีระศักดิ์ และ น.ต.ประกาย ก็เข้าไปบ้าง เราต่างแยกย้ายกันนั่งรออยู่ตามม้านั่งพักผู้โดยสารหน้าห้องขายตั๋ว ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา ภรรยาของ พ.ต.วีระศักดิ์ ก็มาถึงและเข้าไปจัดการซื้อตั๋วแล้วนำมามอบให้กับ พ.ต.วีระศักดิ์ ใกล้จะถึงเวลา 18.00 น. พ.ต.วีระศักดิ์พยักหน้าให้สัญญาณเราก็ทยอยลุกขึ้นเดินไปตามกันเข้าไปในชานชาลาอย่างช้าๆ ไม่ให้มีพิรุธเป็นที่ผิดสังเกต จนถึงปลายขบวนรถ ณ ที่นั้นมีนายร้อยตำรวจเอกผู้หนึ่งยืนคุยอยู่กับเพื่อน เราหลีกไปเสียข้างหลังขึ้นไปบนรถโดยสารชั้นที่สอง แยกย้ายกันนั่ง พ.ต.วีระศักดิ์นั่งคู่กับข้าพเจ้าซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างรถด้านขวามือ ทางท้ายรถ น.อ.อานนท์ กับ น.ต.ประกายนั่งด้วยกันด้านซ้ายมือตอนหัวรถ
18.00 น. ระฆังสัญญาณเริ่มบอกเวลารถจะออกดังกังวานขึ้น ครั้นแล้วขบวนรถก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานีช้า ๆ และ เร็ว ๆ ขึ้นเป็นลำดับ จิตใจของข้าพเจ้ามีความรู้สึกอันยากที่จะอธิบาย ทั้งตื่นเต้นและทั้งว้าวุ่น ทั้งดีใจที่ผ่านพ้นอุปสรรคนานาประการมาได้ และทั้งเสียใจอาลัยอาวรณ์ที่จะต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นที่รักไป โดยยังไม่รู้ว่าจะได้กลับมาพบกันอีกหรือหาไม่ ลาที – กรุงเทพพระมหานคร ถ้าชีวิตยังอยู่เราจะต้องกลับมาอีก
รถขบวนนั้นมีผู้โดยสารไม่สู้จะมากนัก โดยเฉพาะรถโบกี้ที่พวกเราขึ้นไปนั่งมีคนน้อยมากซึ่งเป็นทั้งส่วนดีและส่วนเสีย ส่วนดีก็คือเมื่อมีคนไม่มากเราก็ไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะต้องพบกับคนรู้จัก ส่วนเสียก็คือเมื่อมีคนน้อยเราก็เป็นจุดเด่นที่สังเกตได้ง่าย เรานั่งไปเงียบๆ พยายามทำตัวไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต ลอบชำเลืองดูรอบข้างๆ ก็รู้สึกว่าต่างคนต่างก็ไม่สนใจกัน เจ้าพนักงานประจำขบวนรถมาตรวจตั๋วโดยสารตามระเบียบแล้วก็ผ่านเลยไป สำหรับตัวของข้าพเจ้าเองนั้น ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เดินทางขึ้นสู่ดินแดนทางภาคเหนือ จึงมีความงุนงงต่อเส้นทางที่จะเป็นอย่างยิ่ง นั่งสูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่าไปจนมืดสนิท แสงไฟในรถไม่สู้จะสว่างมากนักทำให้ดีใจเป็นอันมากที่จะไม่ต้องเฝ้าระวังว่าจะมีใครมาสังเกตและจดจำได้
เรานั่งงีบหลับไปจนกระทั่งเวลาประมาณ 21.00 น. รถจอดที่สถานีลพบุรี เราก็ยังเผลอหลับอยู่ ณ สถานีนี้เองเราต้องสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เนื่องจากมีนายร้อยโททหารสารวัตรคนหนึ่งมาจับแขน พ.ต.วีระศักดิ์ เขย่าทักทายว่าจะไปไหน ข้าพเจ้าคิดว่า พ.ต.วีระศักดิ์เองก็ตกใจไม่น้อยไปกว่าข้าพเจ้า ซึ่งเขาได้เล่าให้ฟังภายหลังว่า เมื่อถูกเขย่าแขนก็ลืมตาขึ้นดู เห็นเป็นทหารสารวัตรก็นึกว่าหนีไม่รอดแล้ว ต้องถูกจับแน่เคราะห์ดีที่นายทหารผู้นั้นมีหน้าที่ตรวจรถธรรมดา ยังไม่ทราบเหตุการณ์และคำสั่งโดยละเอียดตลอดทั้งเคยเป็นนายทหารใต้บังคับบัญชา จึงทำให้ใจชื้นเรียกสติกลับคืนมาได้ นายทหารสารวัตรถามว่าจะไปไหน พ.ต.วีระศักดิ์ตอบว่าจะขึ้นไปที่บ้านจังหวัดพิษณุโลกแล้วย้อนถามไปว่าเหตุการณ์ด้านนี้เป็นอย่างไรบ้าง นายทหารผู้นั้นตอบบ่าที่ลพบุรีเหตุการณ์เป็นปกติ ตนมีหน้าที่ตรวจขบวนรถตามธรรมดาแล้ก็ทำความเคารพอำลาไปเราค่อยหายใจสะดวกขึ้นเมื่อขบวนรถเริ่มเคลื่อนออกจากสถานี ด้วยความที่อดนอนหลายคืนติดๆ กัน ผสมกับลมเย็นที่พัดผ่านอยู่ตลอดเวลา ทำให้เรางีบหลับต่อไปอีก
เนื่องจากสถานการณ์อยู่ในภาวะฉุกเฉิน การเดินรถจึงล่าช้าไปกว่าเดิม ขบวนจอดตามระยะสถานีที่กำหนด ทุกครั้งที่ข้าพเจ้ามองดูภาพบริเวณสถานีต่างๆ นครสวรรค์ – ปากน้ำโพ – อุตรดิตถ์ ล้วนแต่เป็นภาพใหม่ในสายตาของข้าพเจ้าทั้งสิ้น ข้าพเจ้าโง่ต่อท้องที่เหล่านี้ เพราะอาชีพของทหารเรือไม่อำนวยให้มีโอกาสขึ้นมาเลย ไม่เหมือนกับบรรดาหัวเมืองชายทะเลทั้งหลาย ซึ่งได้ผ่านไปมาอยู่เสมอ
รุ่งเช้ารถถึงสถานีเด่นชัย เรารับประทานอาหารเช้าแล้วก็นั่งดูภูมิภาคที่รถแล่นผ่านต่อไป จนกระทั่งเวลาประมาณ 11.00 น. ขบวนรถจึงเคลื่อนเข้าสู่ชานชาลาสถานีลำปาง เป็นอันว่าเราปลอดภัยจากการเดินทางทางรถไฟอีกระยะหนึ่ง โล่งอกไปอีกครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งยังคงหนักอกอยู่ที่ไม่รู้ว่าจะลอดปลอดภัยไปได้เพียงไร
เมื่อรถจอดเรียบร้อย ต่างก็ค่อยทยอยกันลงจากรถมุ่งตรงไปยังช่องออก ที่นั้นเพื่อนคนหนึ่งซึ่งร่วมโรงเรียนเดียวกันมาแต่เด็กๆ กำลังยืนคุยอยู่ในกลุ่มเพื่อนของเขาโดยที่เกรงว่าเขาจะเหลือบมาพบเข้า จึงรีบเดินตัดไปทางด้านหลังผ่านพ้นไปโดยเร็ว เราปะปนกับบรรดาผู้โดยสารทั้งหลายออกไปนอกสถานี เรียกรถม้ามาว่าจ้างให้ไปส่งที่รถยนต์โดยสารคันใดคันหนึ่งซึ่งจะรับจ้างพิเศษ ผู้ขับขี่รถม้าพาเราไปที่บ้านเจ้าของรถยนต์โดยสารซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลจากสถานีรถไฟนัก ตกลงราคากันว่าจ้างกันไปส่งที่จังหวัดเชียงราย เป็นจำนวนเงินสามร้อยบาท หวังจะได้รีบออกเดินทางไปทันทีแต่ก็ผิดหวังเพราะรถยังไม่ได้เติมน้ำมัน ครั้นเติมน้ำมันเสร็จปรากฏว่ายังตามตัวเด็กประจำรถไม่พบต้องเสียเวลาขับรถวนเวียนไปตามถนนสายต่างๆ ในเมือง ทำให้พวกเรากระวนกระวายใจมาก พยายามเร่งรัดให้รีบออกเดินทาง ให้ที่สุดก็ออกจากบริเวณตัวเมืองได้เมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. รถออกจากตัวเมืองไปได้เล็กน้อยก็ต้องหยุดที่ด่านตรวจอีก แต่เนื่องด้วยเป็นรถเปล่าไม่ได้บรรทุกสินค้าใด ๆ จึงเสียเวลาตรวจเพียงเล็กน้อย จากนั้นรถก็แล่นเรื่อยไป
เส้นทางสายลำปาง – เชียงรายนี้ ท่านที่เคยเดินทางผ่านมาแล้ว ย่อมจะทราบดีว่าคดเคี้ยวขึ้นลงน่ากลัวอันตรายอยู่มิใช่น้อย และในขณะนั้นสภาพของถนนก็อยู่ในเกณฑ์ไม่สู้จะดีนักแต่อาศัยที่คนขับรถมีความชำนาญต่อเส้นทาง รถที่เรานั่งไปจึงมิได้ประสบอุบัติเหตุใดๆ ระหว่างทางมีผู้โบกมือให้หยุดรับ เราก็บอกนรถจอดรับให้โดยสารไปด้วย
ประมาณเกือบบ่ายสามโมงรถถึงอำเภองาว แล่นข้ามสะพานเก่าๆ ซึ่งตัวสะพานแขวนอยู่ด้วยลวด ปัจจุบันรื้อและสร้างใหม่แล้ว รถเลี้ยวไปจอดที่บริเวณตลาดเราหยุดรับประทานอาหารกลางวัน และจะซื้อของใช้เพิ่มเติมกันที่นี่ ครึ่งชั่วโมงต่อมาตั้งต้นเดินทางต่อไปใหม่ ผ่านอำเภอพะเยาว์และตำบลต่างๆ ตามเส้นทางไปโดยไม่ได้หยุดแวะเลยจนกระทั่งเวลาประมาณ 18.00 น. เศษ ก็เข้าสู่ชานเมืองเชียงราย มุ่งตรงไปสู่บ้านพ่อค้าคนหนึ่งตามตำบลที่อยู่ที่ได้รับแจ้งมา แต่ก็พบกับความผิดหวังด้วยพ่อค้าผู้นั้นไม่อยู่บ้านคงอยู่แต่ภรรยาของเขา ซึ่งรับจดหมายแนะนำตัวไปอ่านดูแล้วก็บอกว่าไม่สามารถจะจัดการอย่างไรเพราะสามีไม่อยู่ แต่ก็ได้ให้ความหวังแก่เราโดยเขียนจดหมายไปถึงญาติของสามีที่ตลาดอำเภอแม่สายให้จัดการแทน