โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 กุมภาพันธ์ 2550 / 26 กุมภาพันธ์ 2550
สุทัศน์ ยกส้าน ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สสวท
โคลัมบัสคิดจะเดินทางสู่ทวีปเอเชียมุ่งหน้าออกจากยุโรปไปทางทิศตะวันตก โดยไม่รู้ว่ามีทวีปอเมริกาขวางกั้นอยู่
บุรุษคนที่ชาวอิตาเลียนรู้จักในนามว่า Christoforo Columbus และชาวสเปนรู้จักในนาม Christobal Colon คือ Christopher Columbus ที่โลกรู้จักในปัจจุบัน และถึงเวลาจะผ่านไปนานกว่า 5 ศตวรรษแล้วก็ตาม แต่ความลึกลับของชีวิตหลายด้านของนักผจญภัยผู้นี้ก็ยังเป็นเรื่องลึกลับที่โลกยังไม่มีคำตอบ
ทั้งๆ ที่บรรดานักประวัติศาสตร์ได้มีโอกาสศึกษาจากเอกสาร เช่น สมุดบันทึกที่หนาร่วม 2,500 หน้า จดหมายที่เขียนถึงเพื่อน 80 ฉบับ ตารางเดินเรือ และมรดก เพราะหลักฐานเหล่านี้ได้แพร่กระจัดกระจายไปทั้งในสเปน อิตาลี ฝรั่งเศส และอเมริกา จนทำให้โลกไม่รู้ชัดว่าเอกสารใดแท้จริง หรือแท้ปลอม
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า Christoforo Colombo เกิดที่เมือง Genoa ในอิตาลี ที่บ้านซึ่งตั้งอยู่ใกล้ประตูเมือง Genoa ชื่อ Porta Soprano ระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม ถึงปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 1994 (รัชสมัยพระบรมไตรโลกนาถ) บิดาชื่อ Domengo Colombo มีอาชีพทอขนแกะ ขายเหล้า ทำเนยแข็ง และธุรกิจโรงแรม ส่วนมารดาชื่อ Susanna Fontanarossa ครอบครัวนี้มีทายาท 6 คน โดยมี Christoforo เป็นบุตรคนโตที่มีน้องชาย 4 คน และน้องสาว 1 คน
ชีวิตในวัยเด็กของ Columbus ค่อนข้างลำบาก เพราะต้องทำงานช่วยบิดาขายเหล้า และทอขนแกะขาย ทำให้ไม่มีเวลาไปโรงเรียน แต่ก็ได้เริ่มเรียนหนังสือเมื่ออายุ 9 ขวบ โดยเรียนภาษาละติน เพราะชาวเมือง Genoa ใช้ภาษาละตินมาก และเพื่อจะได้อ่านตำราภูมิศาสตร์ ที่เขียนเป็นภาษาละติน นอกจากนี้ Columbus ก็ได้เรียนภาษาสเปน และโปรตุเกสด้วย
เมือง Genoa เมื่อ 500 ปีก่อน เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวามาก การไม่มีกษัตริย์ผู้ครองนครทำให้ชาวเมืองต้องเลือกคนที่มีบารมีสูงมาปกครอง และโดยทั่วไปชาว Genoa เป็นคนหัวแข็ง และมีนิสัยมุทะลุ ดังนั้น ครอบครัวและเพื่อนบ้านที่ศรศิลป์ไม่กินกัน จึงเป็นศัตรูกันมากมาย ถึงแม้มีข้อเสียเช่นนี้แต่ชาวเมืองก็เป็นคนทำงานหนัก และรู้จักกระเหม็ดกระแหม่อีกทั้งชอบค้าขายกับชาวเมืองอื่น เช่น นำข้าว สาลี เกลือ ทองคำ เหล้าองุ่น และขนแกะมาขาย นอกจากนี้ก็สนใจซื้อสินค้าจากโลกตะวันออก เช่น น้ำตาล เครื่องเทศ ดังนั้น เมื่ออาณาจักรอิสลามเรืองอำนาจกองทัพอาหรับได้ปิดเส้นทางที่ชาวยุโรปใช้ในการเดินทางไปตะวันออก พ่อค้าชาว Genoa จึงต้องแสวงหาเส้นทางมาโลกตะวันออกโดยมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเดินเรือข้ามมหาสมุทร Atlantic แทน
Columbus เริ่มเดินทางเรือเป็นครั้งแรกในทะเล Mediteranean การศึกษาจดหมายที่ Columbus เขียนติดต่อกับเพื่อนๆ ทำให้เรารู้ว่า Columbus รู้จัก Marseilles, Aragon, Sicily, Sardinia, Corsica และเคยเดินทางถึง Chios ใน Asia Minor เมื่อปี 2018 ด้วย การมีประสบการณ์เดินเรือมากเช่นนี้ ทำให้ Columbus เป็นนักเดินเรือผู้มีความสามารถสูงคนหนึ่ง
ในปี 2019 Columbus ได้เดินทางไปกับขบวนเรือของตระกูล Spinola และ Di Negro มุ่งสู่อังกฤษ โดยแล่นเรือจาก Genoa ผ่านช่องแคบ Gibraltar ออกมหาสมุทร Atlantic แต่ขณะเดินทางถึงแหลม St. Vincent ขบวนเรือถูกโจรสลัดฝรั่งเศสโจมตี ทำให้เรืออับปาง และลูกเรือหลายคนจมน้ำตาย แต่ Columbus โชคดีที่เกาะไม้กระดานลอยหนีขึ้นฝั่งที่เมือง Lagos ในโปรตุเกสได้ จากนั้นก็ได้เดินทางไป Lisbon เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ผู้คนในสมัยนั้นเชื่อว่า มหาสมุทร Atlantic เป็นทะเลอันตรายเพราะเต็มไปด้วยสิ่งลึกลับที่มืดมน มีคลื่น พายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรงตลอดเวลา อีกทั้งมีอสุรกายซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำด้วย ดังนั้น จึงไม่มีใครกล้าเดินทางผ่าน ด้วยเหตุนี้ กะลาสียุโรปจึงใช้วิธีแล่นเรือเลียบฝั่งทวีปในการเดินทางทุกครั้งไป
ไม่เพียงแต่ชาวยุโรปเท่านั้นที่ยำเกรงมหาสมุทร Atlantic ชาวอาหรับเองก็หวาดกลัวไม่น้อยเช่นกัน จนถึงกับเรียกมหาสมุทร Atlantic ว่า กาฬสมุทร (Sea of Darkness) ดังจะเห็นได้จากแผนที่ของชาวอาหรับที่วาดในปี พ.ศ. 1910 ซึ่งแสดงภาพยักษ์ยกมือห้ามมนุษย์ทุกคนที่จะแล่นเรือไปทางทิศตะวันตกอย่างเด็ดขาด
ถึงแม้จะหวาดกลัวเพียงใด แต่เจ้าชาย Henry แห่งโปรตุเกสก็ทรงสนับสนุนการเดินเรือในทะเล และมหาสมุทรแอตแลนติก โดยทรงจัดสัมมนาเรื่องการทำแผนที่เดินทางสำรวจเกาะต่างๆ ในมหาสมุทร Atlantic เพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือไปทวีปเอเชียให้จงได้ ผลปรากฏว่าในปี 1963 ได้มีนักเดินเรือชาวโปรตุเกสเดินทางถึงเกาะ Madeiras และอีก 12 ปีต่อมา หมู่เกาะ Azores ก็ได้รับการสำรวจ และเมื่อถึงปี 2013 นักเดินเรือชาวโปรตุเกสก็ประสบความสำเร็จในการเดินทางถึงเส้นศูนย์สูตรเป็นครั้งแรก
ในปี 2022 Columbus ได้เข้าพิธีสมรสกับ Felipa Moniz Perestrello ผู้มีฐานะดี และมีฐานันดรศักดิ์สูง ผลที่ได้จากการแต่งงานนี้ คือทำให้ Columbus ได้มีโอกาสเข้าเฝ้ากษัตริย์โปรตุเกสบ่อยครั้ง และกษัตริย์ได้ทรงนำจดหมายที่ Paolo dal Pozzo Toscanelli เขียนถึงพระองค์ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2017 มาให้ Columbus อ่าน จดหมายมีใจความสำคัญว่า Marco Polo ได้เดินทางถึงเมืองจีน โดยใช้เส้นทางตะวันออกและได้ตั้งความหวังว่า นักผจญภัยคนอื่นๆ ก็คงสามารถเดินทางด้วยเรือถึงอินเดีย โดยใช้เส้นทางตะวันออกได้ จดหมายยังกล่าวถึงการได้พบ Antilia ซึ่งเป็นประเทศลึกลับกับเกาะ Cipango (ญี่ปุ่น) ด้วย ว่าเป็นแผ่นดินที่มีเครื่องเทศและอัญมณีอุดมสมบูรณ์ และในส่วนที่เกี่ยวกับเมืองจีน จดหมายได้กล่าวถึงเจ้าชายจีนกับจักรพรรดิที่ได้ส่งอุปทูตจีนมาเข้าเฝ้าสันตะปาปา เพื่อหาครูและนักบวชไปสอนศาสนาคริสต์ให้คนจีนด้วย
นอกจากจะมีข่าวที่น่าตื่นเต้นเหล่านี้แล้ว จดหมายยังได้แสดงแผนที่การเดินทางอย่างละเอียดของ Marco Polo ด้วย การอ่านจดหมายทำให้ Columbus รู้สึกตื่นเต้นกับข่าวการผจญภัยนี้มาก จึงเริ่มเก็บหลักฐานและเอกสารต่างๆ ที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับดินแดนไกลโพ้นที่อยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร Atlantic และออกแสวงหากะลาสีกับชาวเกาะที่มีความรู้เกี่ยวกับมหาสมุทร Atlantic เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ตัว Columbus เองมีความเชื่อมั่นมากว่า ณ ที่ไกลจากแหลม St. Vincent ออกไปทางตะวันตก จะต้องมีแผ่นดินที่มีคนอาศัยอยู่แน่นอน เพราะมีคนพบไม้และขอนไม้ที่มีรอยแกะสลักประหลาดลอยมาติดฝั่งที่ St. Vincent และ Porto Santo อยู่เนืองๆ ด้วยเหตุนี้ Columbus กับน้องชายที่ชื่อ Bartholomew จึงเริ่มอาชีพทำแผนที่ขาย เพราะต้องการจะรู้ข้อมูลของ Atlantic ให้มากที่สุด และในขณะเดียวกันก็ได้สะสมประสบการณ์เดินเรือใน Atlantic ด้วย โดยได้เดินทางไป Porto Santo อังกฤษ และอ่าว Galway ในไอร์แลนด์ และขณะอยู่ที่ไอร์แลนด์นั่นเอง Columbus ได้เห็นศพคนรูปร่างประหลาดลอยมาติดฝั่ง
ประสบการณ์ที่มากล้นทำให้ Columbus รู้ดีว่า การเดินเรือจากสเปนข้ามบริเวณตอนเหนือของมหาสมุทร Atlantic จะเป็นอันตราย เพราะลมพายุพัดแรง และอากาศหนาวมาก เขาจึงตัดสินใจแล่นเรือลงทางใต้ โดยมุ่งหน้าสู่หมู่เกาะ Canary, Cape Verde มุ่งสู่ Gold Coast ของแอฟริกา และในการเดินทางไปแอฟริกาครั้งนั้น Columbus ได้เตรียมตัวเดินทางข้ามมหาสมุทร Atlantic ด้วย เพราะเขาคิดว่า ถ้ารู้เส้นทาง มนุษย์ก็สามารถเดินทางไปที่ใดก็ได้ในโลก และการที่มหาสมุทร Atlantic มีลมแรงที่สามารถพัดใบเรือให้เดินทางไกลได้ เขาจึงได้ข้อสรุปว่า ในการเดินทางไปและกลับ ข้ามมหาสมุทร Atlantic นั้น เขาต้องแล่นเรือจากสเปนลงทางใต้ก่อน จนกระทั่งถึงหมู่เกาะ Canary และ Cape Verde จากนั้นก็อาศัยลมสินค้าพัดเรือของเขาไปทางทิศตะวันตก แล้วแล่นเรือขึ้นเหนือเพื่ออ้อมกลับยุโรป โดยอาศัยลมสินค้าอีกเช่นกัน
เมื่อความคิดและร่างกายพร้อม ในปี 2026 Columbus ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ John ที่ 2 แห่งโปรตุเกส เพื่อทูลเสนอโครงการนำเรือและกะลาสีเดินทางสู่ญี่ปุ่นและอินเดีย โดยใช้เส้นทางตะวันตกข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก กษัตริย์ John ที่ 2 ทรงบัญชาให้บรรดาปราชญ์ราชสำนัก ซึ่งประกอบด้วยนักดาราศาสตร์ และนักคณิตศาสตร์พิจารณาข้อเสนอของ Columbus และเหล่าปราชญ์ได้ทูลว่า ระยะทางที่ Columbus คิดคำนวณไว้นั้นสั้นกว่าระยะจริงมาก และเพื่อความมั่นใจกษัตริย์ John ที่ 2 ได้ทรงส่งกองทัพเรือออกตามเส้นทางที่ Columbus เสนอ และก็ได้พบว่า เมื่อถึงตำแหน่งที่ Columbus คิด ที่นั่นไม่มีแผ่นดินใดๆ เลย
ขณะนั้น Columbus มีอายุ 34 ปีแล้ว และเป็นพ่อม่ายที่มีร่างกายสูงใหญ่ บึกบึน สันจมูกโด่งเหมือนจะงอยปากนกอินทรี ตาสีฟ้า-เทา และผมหงอกประปราย เมื่อเขารู้ข่าวว่า ที่โบสถ์ Santa Maria de la Rabida มีที่ให้นักเดินทางพัก เขาจึงทำตัวสนิทกับเจ้าอาวาสที่ชื่อ Antonio de Marchena เพื่อให้เจ้าอาวาสดูแล Diego แทน จากนั้นเขาก็นำจดหมายที่เจ้าอาวาสแนะนำไปหา Hernando de Talavera ผู้เป็นนักบวชที่องค์ราชินีแห่งสเปนทรงนับถือมาก และเมื่อนักบวชนำ Columbus เข้าเฝ้าเพื่อถวายโครงการแด่กษัตริย์ Ferdinand และราชินี Isabella แห่งสเปน Columbus ต้องคอยนานถึง 7 ปี จึงได้รับพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้าเพื่อทูลเสนอโครงการที่จะนำความอุดมสมบูรณ์แห่งโลกตะวันออกสู่โลกตะวันตกต่อหน้าพระพักตร์ แต่เหล่าองคมนตรีของกษัตริย์ Ferdinand ไม่เชื่อในความฝันของ Columbus เขาจึงต้องถอนโครงการกลับคืน แต่ก็ได้ตั้งปณิธานว่า จะต่อสู้ต่อไป ไม่ว่าใครจะต่อต้านหรือคัดค้านความคิดของเขาเพียงใด และขณะพำนักอยู่ที่ Cordoba ในสเปน Columbus ได้แต่งงานใหม่กับ Beatriz Enriquez de Arana และมีบุตรชื่อ Ferdinand ในปี 2031 จากนั้นเขาก็เริ่มอาชีพใหม่ คือ ขายหนังสือ เพราะเมื่อ 8 ปีก่อนนั้น Gutenberg ได้ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ ทำให้ผู้คนสนใจอ่านหนังสือมากขึ้น อาชีพขายหนังสือจึงทำเงินให้ Columbus พอประมาณ และเมื่อ Columbus ได้อ่านหนังสือเรื่อง History of All Things and All Deeds ที่ Aeneas Sylvius แต่งในปี 2020 เขารู้สึกเชื่อว่า ดินแดนที่ Sylvius กล่าวว่าเป็นตะวันออกไกลนั้น อันที่จริงก็คือ ตะวันตกไกลนั่นเอง
นอกจากหนังสือเล่มนี้แล้ว Columbus ก็ยังได้อ่านหนังสืออื่นๆ อีกหลายเล่ม เช่น De Antiquitatibus ของ Flavius Josephus ซึ่งหนังสือนี้กล่าวถึงกษัตริย์ Solomon ว่าทรงมีมหาสมบัติที่ทรงยึดได้จากอินเดีย และที่ทะเล Tarshish มีช้าง นกยูง และลิงมากมาย สำหรับหนังสือ Evil Eyes นั้นก็กล่าวถึงสิ่งมหัศจรรย์ Colossus of Rhodes การสิ้นพระชนม์ของ Attila โรค ยา ตัว Chameleon ต้นกำเนิดภาษาละติน เทพ Icarus, Plato, St. Paul, Alexander มหาราช ยักษ์ตาเดียว อัญมณี และชีวิตหลังความตาย ฯลฯ Columbus รู้สึกตื่นเต้นในความประหลาดมหัศจรรย์ของสิ่งต่างๆ ที่หนังสือเอ่ยถึง และอยากได้สมบัติเหล่านี้มาก นอกจากนี้เขาก็ยังเชื่ออีกว่า ที่ขอบโลกมียักษ์กินคนทั้งเป็นด้วย
ในสมัยนั้นความรู้ภูมิศาสตร์ที่คนเชื่อ คือสิ่งที่ปราชญ์ Ptolemy แห่งเมือง Alexandria ได้เคยเขียนไว้ตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 2 ว่า โลกมีลักษณะกลม อยู่นิ่งและเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดย Ptolemy ได้แบ่งโลกออกเป็น 7 ส่วน ตามสภาพของดินฟ้าอากาศ มีทวีป Eurasia และ Africa ที่มีมหาสมุทรล้อมรอบ (แต่ไม่มีทวีป America และมหาสมุทร Pacific) ความศรัทธาและเชื่อในคำสอนของ Ptolemy ทำให้ Columbus คำนวณ ความยาวของเส้นศูนย์สูตรของโลกสั้นไป 25%
จะอย่างไรก็ตาม ในปี 2031 Columbus ได้เดินทางไปโปรตุเกส เพื่อทูลขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์ John ที่ 2 อีก แต่ขณะนั้นชาวโปรตุเกสกำลังรื่นเริงกับความสำเร็จของ Bartholomew Dias ผู้ประสบความสำเร็จในการเดินทางอ้อมแหลม Good Hope ได้เป็นคนแรก ซึ่งการพบเส้นทางนี้เปรียบเสมือนการพบประตูให้ชาวยุโรปสามารถเดินทางสู่อินเดียโดยทางทะเลได้ Columbus จึงส่งน้องชายของตนที่ชื่อ Bartholomew ไปทูลขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์ Henry ที่ 7 แห่งอังกฤษ และในขณะเดียวกัน ตนเองก็เดินทางไปทูลขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์ฝรั่งเศส แต่การเดินทางของคนทั้งสองไม่ประสบความสำเร็จใดๆ
เมื่อถึงวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2035 ชะตาชีวิตของ Columbus ก็เริ่มหักเหไปในทางที่ดี เพราะกษัตริย์ Boabdil แห่งอาณาจักรแขกมัวร์ (Moor) ที่ยึดครองเมือง Granada ของสเปน ทรงยอมปราชัยในการสู้รบกับกองทัพสเปน ความร่าเริงยินดีของประชาชนสเปนทั้งประเทศ ทำให้ Columbus มั่นใจกล้าทูลขอกษัตริย์สเปนให้ทรงอุปถัมภ์การเดินทางไปสำรวจโลกใหม่อีก โดยได้เสนอเงื่อนไขว่า ถ้าพบแผ่นดินใหม่ จะนำทรัพย์สมบัติทุกชิ้นและทุกชนิดกลับมาถวาย และจะประกาศยึดครองแผ่นดินนั้นเป็นอาณานิคมของสเปนทันที และเพื่อขอรางวัลสมนาคุณแก่ตนเอง Columbus ได้ทูลขอกษัตริย์ให้ทรงแต่งตั้งตนเป็นนายพลเรือ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในดินแดนใหม่ และได้ทูลขอแบ่งทรัพย์สมบัติที่ยึดได้ 10% ด้วย
แผนการนี้ถูกกษัตริย์สเปนทรงปฏิเสธอีก แต่เมื่อพระองค์ได้ทรงพิจารณาใหม่ โครงการนี้ก็ได้รับอนุมัติ
ดังนั้น ในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2035 Columbus จึงได้ลงนามทำสัญญากับองค์กษัตริย์ Ferdinand และราชินี Isabella และออกเดินทางจาก Granada ในวันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม ไปเมือง Palos โดยนำเรือสามลำ ชื่อ Nina, Pinta และ Santa Maria ออกจากท่า และเมื่อถึงวันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม ขบวนเรือทั้งสามของ Columbus ก็เริ่มออกเดินทางเพื่อค้นหาโลกใหม่ โดยมุ่งสู่หมู่เกาะ Canary ก่อน แล้วอ้อมไปทางทิศตะวันตกข้ามมหาสมุทร Atlantic เพื่อมุ่งสู่ญี่ปุ่น จีน และอินเดีย
ในการเดินทางครั้งนั้น Columbus มีความเชื่อว่าตนเป็นนักบุญ St. Christopher ที่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ซึ่งมีหน้าที่ข้ามน้ำข้ามทะเล และผ่านความทุกข์ทรมานต่างๆ เช่นเดียวกับพระเยซู และเมื่อพบ ‘อเมริกา’ แล้ว Columbus ได้เดินทางไปทวีปอเมริกาอีกรวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง ในช่วงปี 2035-2047 แต่ในความเป็นจริง Columbus มิได้เดินทางถึงทวีป America เลย เขาได้สำรวจเพียง Bahamas, Antilles, Cuba และทะเล Caribbean ซึ่งอยู่นอกทวีปอเมริกาเท่านั้น และถึงแม้ภูมิประเทศและผู้คนที่ Columbus พบ จะไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาเคยคิดฝันมาก่อน เขาก็ปักใจเชื่อว่า ดินแดนที่พบนั้นคือ เอเชีย จึงได้พยายามค้นหาจักรพรรดิข่านกับกษัตริย์ Solomon ทุกครั้ง และในขณะสำรวจเกาะคิวบา Columbus ได้ให้กะลาสีลูกน้องตนกล่าวสบถสาบานต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าว่า ดินแดนที่พวกเขากำลังเดินสำรวจนั้นคือ เอเชีย
เมื่อ Columbus เดินทางกลับหลังจากการพบโลกใหม่ในการเดินทางครั้งแรกนั้น Columbus ได้รับการยกย่องมาก เช่น ได้นั่งบนหลังม้าติดตามกษัตริย์ Ferdinand อย่างใกล้ชิด หรือเวลาเข้าเฝ้าก็ได้นั่งใกล้พระองค์ อีกทั้งได้รับตำแหน่งฐานันดรศักดิ์เป็น Don ด้วย ดังนั้น สำหรับเด็กยากจนคนหนึ่งผู้เติบโตจากความยากไร้ การได้รับการยอมรับเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดแล้ว
แต่ความสำเร็จ และความสุขของ Columbus ก็มิได้ยืนยง เพราะเขามีศัตรูมาจากเหตุผลที่ว่าเขาเป็นคนต่างชาติ และเป็นนักบริหารที่โหดเหี้ยมทารุณ ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ที่เกิดบนเกาะ Hispaniola ที่ Columbus เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เมื่อชาวเมืองตั้งตัวเป็นกบฏ Columbus ได้สั่งประหารกลุ่มคนที่ต่อต้านเขาทุกคน การสังหารอย่างเลือดเย็นนี้ทำให้ชาวเมืองแค้นเคืองมาก
เมื่ออายุได้ 53 ปี สุขภาพของ Columbus เริ่มไม่ดี เช่น ตาทั้งสองข้างมีอาการเจ็บแสบ ทำให้ Columbus อ่านหนังสือไม่ได้ และป่วยบ่อย เพราะเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และเมื่อถูกรบเร้าด้วยโรคไขข้ออักเสบ สุขภาพจิตจึงไม่ดีตามไปด้วย การมีอารมณ์ปรวนแปรบ่อย ทำให้กษัตริย์ Ferdinand ทรงไม่โปรดปราน Columbus พระองค์จึงทรงไม่มอบตำแหน่งปกครองใดๆ ให้ Columbus อีก และทรงโปรดให้ Columbus เกษียณชีวิตทำงานที่เมือง Valladolid ในเวลาต่อมา
Columbus ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ในความดูแลของครอบครัว และโหยหาการยอมรับจากสังคม รวมทั้งต้องการสมบัติ และอภิสิทธิ์ทุกรูปแบบจากกษัตริย์ดังที่ตนเคยได้รับในอดีต เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปี 2049 Columbus วัย 55 ปี ได้ถูกโรคนานาชนิดคุกคามหนักจนเป็นโรคหัวใจ เนื้อตัวบวม แต่ก็มีสติดี จึงบอกบุตรชาย Diego ให้เตรียมสรรพสิ่งให้พร้อมสำหรับมารดาเลี้ยงจะได้ใช้ชีวิตยาม Columbus ตายไปแล้วอย่างเป็นสุข และเมื่อถึงเวลาใกล้สิ้นใจบุตรชาย Diego และ Ferdinand กับเพื่อนกะลาสีของ Columbus ที่เคยร่วมเดินทางไปพบโลกใหม่ ได้พากันมานั่งใกล้เตียง และ Columbus ได้เอ่ยกับบาทหลวงที่มาสวดอวยพรครั้งสุดท้ายว่า ขอมอบวิญญาณของตนให้พระผู้เป็นเจ้า แล้วสิ้นใจเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2049 พิธีศพถูกจัดขึ้นที่เมือง Valladolid และศพถูกนำไปฝังที่ Santa Maria de las Cuevas ในเมือง Seville ในเวลาต่อมากระดูกถูกนำไปเผาที่ Santo Domingo
แต่เมื่อเกิดสงครามระหว่างอเมริกา-สเปน กระบวนการยักย้ายถ่ายเทกระดูกมีความสับสนอลหม่าน จนกระทั่ง ณ วันนี้ไม่มีใครรู้ชัดว่ากระดูกของ Columbus อยู่ที่ใดแน่ คือที่ Seville Cathedral หรือที่ Santo Domingo หรือที่ Hispaniola
นอกจากปริศนาเรื่องศพแล้ว ระฆังที่กะลาสีเรือ Santa Maria ตีเมื่อเห็นแผ่นดินเป็นครั้งแรก ก็เป็นเรื่องที่ยังไม่มีคำตอบชัดเช่นกัน ในปี 2546 นักล่าสมบัติชาวสเปน โปรตุเกส และอิตาเลียน ต่างก็พยายามประมูลซื้อระฆังแตกที่สูง 25 เซนติเมตร และหนัก 14 กิโลกรัม อีกทั้งมีสนิมสีเขียวเกาะราคา 40 ล้านบาทนี้ แต่การประมูลถูกตำรวจสเปนสั่งระงับ เพราะไม่มีใครบอกได้ว่า ใครเป็นเจ้าของระฆัง และระฆังใบนี้เป็นตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่
ทั้งนี้เพราะบรรดาผู้รู้ประวัติความเป็นมาของระฆังอ้างว่า มันเคยอยู่บนเรือ Santa Maria และหลังจากที่ Columbus พบเกาะคิวบากับเกาะ Bahamas แล้ว เรือ Santa Maria ได้เกยหินโสโครกที่บริเวณนอกเกาะ Haiti ทำให้ Columbus ต้องสั่งให้คนอินเดียนแดงและกะลาสีถอดชิ้นไม้ส่วนต่างๆ ของเรือเพื่อนำไปทำที่พักให้กะลาสี 39 คนอาศัยบนเกาะ Haiti และเมื่อเขากลับไปเยือนแหล่งพำนักของกะลาสีเหล่านี้ในปีต่อมา เขาได้พบว่า กะลาสียุโรปถูกชาวอินเดียนแดงฆ่าตายหมด และระฆังของเรือ Santa Maria ถูกเผาจนดำ
ในปี 2098 หลานชายของ Columbus ชื่อ Luis ได้นำระฆังขึ้นเรือ San Salvador ออกเดินทางจาก Puerto Rico มุ่งหน้าสู่ Seville ในสเปน แต่เรือได้อับปางลงกลางทาง
พออีก 4 ศตวรรษต่อมา นายทหารเรือชาวอิตาเลียนชื่อ Roberto Mazzara ได้พบซากเรือที่อับปาง และระฆังในทะเล ณ ตำแหน่งที่ห่างจากฝั่ง Figueira da Fozin ของโปรตุเกสเป็นระยะทาง 150 เมตร เขาจึงรายงานให้รัฐบาลสเปน และโปรตุเกสรู้ แต่ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งเขานำระฆังขึ้นประมูลขายในปี 2545 แต่มีผู้สนใจระฆังใบนี้ประมาณ 10 คน ซึ่งถือว่าไม่มากเลย ถ้าระฆังนี้เป็นของจริง
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์บางคนก็มีความเห็นว่า เรือยุโรปในสมัยนั้นมักไม่มีระฆัง และการวัดอายุของระฆังใบที่ว่านั้นพบว่า ก็มีอายุเพียง 400 ปีเท่านั้นเอง ในขณะเดียวกัน รัฐบาลโปรตุเกสก็ได้ตั้งข้อกล่าวหาว่า Mazzara ขโมยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของโปรตุเกสหนีออกนอกประเทศ ส่วนสเปนเองก็อ้างว่า ระฆังนั้นอยู่ในเรือสเปน ดังนั้น สเปนก็มีสิทธิเป็นเจ้าของเช่นกัน และไม่ว่าระฆังจะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม การประมูลซื้อขายก็เป็นเรื่องไม่ควรทำ เจ้าหน้าที่สเปนจึงมีความเห็นว่า ระฆังควรอยู่ในพิพิธภัณฑ์ แต่จะเป็นสมบัติของชาติใดนั้น ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายยังตกลงกันไม่ได้ และในขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์กับนักประวัติศาสตร์ก็กำลังหาทางพิสูจน์ข้อมูลของระฆังใบนี้ต่ออยู่
ในวารสาร History ฉบับเดือนมีนาคมศกนี้ มีรายงานว่า Columbus เป็นคนที่ทารุณโหดร้ายมาก เพราะเมื่อเขากลับไปเยือนเมืองบนเกาะ Hispaniola เขาได้พบว่า กะลาสีที่ดูแลเมืองบางคนถูกชาวเมืองฆ่าตาย และบางคนก็ล้มป่วยจนกะลาสีทุกคนเสียชีวิตหมด เขาจึงสั่งฆ่าคนทั้งเมืองทันที และจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นทำให้ Columbus สั่งให้ค้นหาแหล่งซ่อนทองคำของกะลาสี และแสวงหาที่สำหรับสร้างเมืองใหม่
ดังนั้น เราจึงเห็นได้ว่า แม้ Columbus จะเสียชีวิตไปนานกว่า 500 ปีแล้ว แต่ชีวิตและผลงานของเขาก็ยังคงเป็นปริศนาให้คนรุ่นหลังขบคิด และศึกษาต่อไป และผลที่เกิดสืบเนื่องจากการที่มีบุคลิกซึ่งเขาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน และโหดร้าย จนชื่อของทวีปใหม่ที่เขาพบหาได้ตั้งตามชื่อของเขาไม่ กลับไปตั้งตามชื่อเพื่อนของเขาที่ชื่อ Amerigo Vespucci ในปีที่ Columbus ตายนั่นเอง
สุทัศน์ ยกส้าน ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สสวท