marinerthai

นับถอยหลัง 50 ปี “อาหารทะเล” หมดโลก !?

โดย ข่าวสด วันที่ 07 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5822

คณะนักวิจัยนานาชาติ ประกอบด้วยนักนิเวศวิทยาและนักเศรษฐศาสตร์ เตือนพลเมืองโลกว่า ภายในเวลาอีกเพียง 50 ปีข้างหน้าเราอาจไม่มี “อาหารทะเล” บริโภคกันอีกต่อไป เนื่องจากปัญหาการทำประมงจับสัตว์ทะเลเกินความจำเป็น และมลพิษที่กำลังบ่อนทำลายสภาพแวดล้อมของทะเล รวมถึงมหาสมุทรทั่วโลก จะทำให้สัตว์ทะเลสูญพันธุ์จนอาจหลงเหลืออยู่แค่ในความทรงจำ!

การวิจัยระบบนิเวศวิทยาทางทะเลครั้งใหญ่ที่สุดในโลกครั้งนี้ มีศาสตราจารย์บอริส เวิร์ม จากมหาวิทยาลัยดัลฮูซี เมืองฮาลิแฟกซ์ ประเทศแคนาดา เป็นผู้นำการวิจัย และตีพิมพ์รายงานลงในวารสารวิทยาศาสตร์ไซเอินซ์ ฉบับเดือนพฤศจิกายน

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เวิร์มและคณะนักวิจัยนานาชาติ ร่วมมือกันวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาระบบนิเวศทางทะเล 32 จุด ข้อมูลจากแหล่งคุ้มครองสัตว์น้ำ 48 พื้นที่ และสถิติการจับสัตว์น้ำทั่วโลกระหว่างปีพ.ศ.2493-2546 ที่รวบรวมโดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ)

นอกจากนั้นคณะของเวิร์มยังตรวจสอบพื้นที่สภาพชายฝั่ง 12 แห่งทั่วโลกในรอบ 1,000 ปีผ่านการสืบค้นข้อมูลจากเอกสาร บันทึกการประมง หลักฐานทางโบราณคดี และสภาพชั้นตะกอนตามแนวชายฝั่ง

เป้าหมายการวิจัยเพื่อประเมินว่าทรัพยากรแหล่งอาหารทางทะเลของมนุษยโลกจะมีเพียงพอต่อการบริโภคไปอีกกี่ปี

ผลลัพธ์ที่ปรากฏสร้างความตกตะลึงให้กับคณะผู้วิจัย เพราะคาดว่า ปลาและสัตว์ทะเลแทบทุกสายพันธุ์จะไม่สามารถอาศัยอยู่ในทะเลได้อีกต่อไปภายในปีค.ศ.2048 หรือพ.ศ.2591

“เมื่อเทียบกับเมื่อ 50 ปีก่อน อัตราการคงอยู่ของปลาและสัตว์ทะเลทั่วโลกลดน้อยลงกว่าเดิม 29 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่โลกจับสัตว์ทะเลได้น้อยลงเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์..

“ถ้าระบบนิเวศทางทะเลยังถูกทำลายเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในระยะยาวเราเชื่อว่าทั้งวงจรชีวิตของปลาและสัตว์น้ำที่เป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารทะเลจะล่มสลายลงภายในช่วงชีวิตของผม ซึ่งอาจเกิดขึ้นราวปีพ.ศ.2591” เวิร์มระบุ

คณะนักวิจัยชี้ว่า ปัจจัยหลักๆ ที่เป็นต้นเหตุทำลายระบบนิเวศทางทะเลเสียหายอย่างร้ายแรง ได้แก่

1.คุณภาพน้ำทะเลที่เสื่อมสภาพเพราะมลพิษจากน้ำมือมนุษย์

2.สาหร่าย (Algae Bloom) ในทะเลเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับออกซิเจนในน้ำทะเลลดต่ำลง

สาหร่าย (Algae Bloom) ในทะเลที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วตามแนวชายฝั่ง

3.การทำประมงมากเกินความจำเป็น

4.มหาสมุทรหลายแห่งมีพื้นที่ขาดออกซิเจน (Dead Zone) เพิ่มมากขึ้น ทำให้ปลาอาศัยอยู่ไม่ได้

และ 5.เหตุน้ำท่วมชายฝั่ง

Dead Zone ในอ่าวแม็กซิโก

“ความหลากหลายทางชีวภาพคือทรัพยากรที่ใช้ไม่มีวันหมด แต่เราแทบไม่มีสิ่งเหล่านี้หลงเหลืออยู่อีกแล้วในท้องทะเล” เวิร์มกล่าว

ดร.สตีฟ พาลัมบี จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด หนึ่งในกลุ่มนักวิจัยผู้ร่วมโครงการเดียวกันกับเวิร์ม เสริมว่า

ถ้าโลกยังไม่ยอมปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการทรัพยากรสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรอย่างถอนรากถอนโคน เพื่อให้ระบบนิเวศกลับมาทำงานตามปกติอีกครั้ง โอกาสที่เราจะไม่มีอาหารทะเลบริโภคภายในศตวรรษนี้ก็มีสูงมาก

ผลวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลการจับสัตว์ทะเล ช่วงปี 2537-2546 พบว่า

ถึงแม้อุตสาหกรรมประมงทั่วโลกจะมีขนาดและประสิทธิภาพสูงขึ้น

ทั้งในด้านกำลังการบรรทุกของเรือ เทคโนโลยีการค้นหาแหล่งสัตว์น้ำที่แม่นยำมากขึ้น และอวนจับปลาที่ดีกว่าในอดีต

แต่เมื่อดูตัวเลขพบว่าปริมาณปลา-สัตว์ทะเลที่จับได้นับตั้งแต่ปี 2537 จนถึง 2546 ลดลงถึง 13 เปอร์เซ็นต์

เป็นสัญญาณชี้ให้เห็นว่าทรัพยากรทางทะเลของโลกเราร่อยหรอลงอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยพบด้วยว่า ในจุดที่ระบบนิเวศมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ซึ่งหมายถึงมีสัตว์น้ำและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลอื่นๆ อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จะช่วยให้การฟื้นฟูปริมาณสัตว์น้ำเกิดขึ้นดีกว่าในพื้นที่ที่ขาดความหลากหลาย

“ผมเชื่อว่าปัญหานี้แก้ไขได้ ไม่เกินความสามารถ ถ้าโลกร่วมมือกัน”

ศ.เวิร์ม กล่าว ก่อนอธิบายถึง “ทางออก” กว้างๆ เพื่อบรรเทาวิกฤตขาดแคลนอาหารทะเลที่อาจระเบิดขึ้น

ข้อสรุปสำคัญจากคณะวิจัยกลุ่มนี้คือ ควรออกมาตรการ “บริหารจัดการระบบนิเวศวิทยาทางทะเล” ในลักษณะการตั้งเขต “โซนนิ่ง” กำหนดพื้นที่สงวน ห้ามไม่ให้มนุษย์เข้าไปทำกิจกรรมใดๆ โดยเด็ดขาด

แนวทางข้างต้นเหมือนกับการตั้งเขตป่าสงวน หรือเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์นั่นเอง

ขณะเดียวกันผู้มีอำนาจก็ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ของการใช้พื้นที่ทางทะเลแต่ละจุดกันไปเลยว่า

จุดไหนจะใช้เพื่อการท่องเที่ยว การทำวิจัย หรือการประมง ซึ่งการประมงในความหมายนี้ต้องอยู่ในความควบคุมเช่นกัน

นอกจากนี้นักวิจัยยังเสนอแนะวิธีบริหารจัดการการประมงรูปแบบใหม่

ดึงให้อุตสาหกรรมประมงเข้ามามีส่วนร่วมปกป้องรักษาปริมาณสัตว์น้ำในท้องถิ่นให้เหลืออยู่ในระดับที่เหมาะสม

โดยต้องเข้าไปสร้างความเข้าใจกับกลุ่มประมงว่า ถ้าเร่งจับสัตว์น้ำจนหมดผลสุดท้ายจะจบลงด้วยสภาพทะเลที่มีแต่น้ำ

กลุ่มนักวิจัยเชื่อมั่นว่าเมื่อเปิดห้วงเวลาให้ธรรมชาติได้มีโอกาสพักหายใจบ้าง ระบบนิเวศจะพลิกฟื้นตัวมันเอง ช่วยให้ทรัพยากรทางทะเลกลับคืนมาสู่ระดับปกติ

สิ่งสุดท้ายที่ฝากไปถึง “ผู้บริโภค” ก็คือ ต้องมีจิตสำนักในการกิน อย่าสร้างนิสัยกินอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ

เพราะพฤติกรรมดังกล่าวเป็นตัวกำหนดให้กลุ่มประมงต้องตั้งหน้าตั้งตาจับปลามาเพียงแค่ตอบสนอง “ความอยาก” ของคน โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาในอนาคต!

Share the Post: