ภาค ข
แนวทางสำหรับบทบัญญัติของบทที่
11-2
ของภาคผนวกแนบท้ายอนุสัญญาระหว่างประเทศ
ว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล
1974 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติม
และภาค ก ของประมวลข้อบังคับนี้
(ส่วนที่ 1)
1. บทนำ
บททั่วไป
1.1 อารัมภบทของประมวลข้อบังคับนี้ระบุว่าบทที่
11-2 และภาค ก.
ของประมวลข้อบังคับนี้จัดให้มีแบบแผนระหว่างประเทศสำหรับมาตรการเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยทางทะเลและเป็นกรอบความร่วมมือระหว่างเรือและท่าเรือเพื่อค้นหาและยับยั้งการกระทำซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยในด้านการขนส่งทางทะเล
1.2 บทนำนี้กล่าวถึงกระบวนการในการจัดให้มีและการดำเนินการตามมาตรการและการเตรียมการที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุและเป็นไปตามบทบัญญัติของบทที่
11-2 และภาค ก.ของประมวลข้อบังคับนี้
และกล่าวถึงองค์ประกอบหลักที่เสนอไว้ในแนวทางดังกล่าว ซึ่งปรากฏอยู่ในวรรคที่ 2 ถึงวรรคที่ 19
ทั้งนี้ ยังได้กำหนดข้อพิจารณาที่สำคัญที่ควรคำนึงเมื่อพิจารณานำแนวทางดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับเรือและท่าเรือมาใช้บังคับ
1.3 หากผู้อ่านมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องเรือแต่เพียงอย่างเดียว
จะขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้อ่านภาค ข. ของประมวลข้อบังคับนี้ทั้งหมด
โดยเฉพาะวรรคที่เกี่ยวกับท่าเรือ และขอแนะนำในทำนองเดียวกันสำหรับผู้ที่สนใจเรื่องท่าเรือเป็นหลักว่าควรอ่านวรรคที่เกี่ยวกับเรือด้วย
1.4 แนวทางที่ระบุไว้ในวรรคที่จะกล่าวถึงต่อไปจะเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองเรือเมื่อจอดอยู่ที่ท่าเรือเป็นหลัก อย่างไรก็ดี
อาจมีเหตุการณ์ที่เรืออาจสร้างภัยคุกคามต่อท่าเรือเกิดขึ้นได้ เช่น
เมื่อเรือจอดอยู่ในท่าเรือ อาจจะถูกใช้เป็นฐานสำหรับโจมตี
เมื่อพิจารณามาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของเรือ
ผู้ที่ทำการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือหรือจัดทำแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือควรพิจารณาปรับให้เข้ากับแนวทางดังกล่าวตามความเหมาะสม
1.5 ขอแนะนำว่าผู้อ่านไม่ควรอ่านหรือตีความภาค
ข. ของประมวลข้อบังคับนี้ไปในทางที่ขัดแย้งกับบทบัญญัติของบทที่ 11-2 หรือภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้
และขอแนะนำว่าบทบัญญัติที่กล่าวถึงก่อนจะต้องมีความสำคัญกว่าและลบล้างบทบัญญัติที่บังเอิญไม่สอดคล้องกันซึ่งอาจปรากฏอยู่ในภาค
ข. ของประมวลข้อบังคับนี้โดยไม่ตั้งใจ
ควรอ่าน ตีความ และนำแนวทางในภาค
ข.ของประมวลข้อบังคับนี้มาปฏิบัติในทางที่สอดคล้องกับเป้าหมาย วัตถุประสงค์
และหลักการที่มีอยู่ในบทที่ 11-2 และภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้
ความรับผิดชอบของรัฐภาคี
1.6
รัฐภาคีมีความรับผิดชอบภายใต้บทบัญญัติของบทที่
11-2 และภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้หลายประการ ซึ่งได้แก่
-
การกำหนดระดับของการรักษาความปลอดภัยที่จะนำมาใช้
-
การอนุมัติแผนการรักษาความปลอดภัยของเรือ และข้อแก้ไขของแผนที่ได้รับอนุมัติก่อนแล้ว
-
การตรวจสอบการปฏิบัติตามบทบัญญัติของบทที่ 11-2 และภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้ของเรือและการออกใบสำคัญรับรองว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยของเรือระหว่างประเทศ
(International Ship Security Certificate) ให้แก่เรือ
-
การกำหนดว่าท่าเรือใดภายในอาณาเขตของตนจะต้องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือซึ่งจะต้องรับผิดชอบในการจัดทำแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือ
-
การดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่ามีการจัดทำและอนุมัติรายงานการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือ
และข้อแก้ไขในภายหลังของรายงานการประเมินที่ได้รับอนุมัติก่อนแล้ว
-
การอนุมัติแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือและข้อแก้ไขในภายหลังของแผนที่ได้รับอนุมัติก่อนแล้ว
-
การใช้มาตรการควบคุมและบังคับให้ปฏิบัติตาม
-
การทดสอบแผนที่ได้รับอนุมัติแล้ว และ
-
การแจ้งข้อมูลให้องค์การทางทะเลระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมเดินเรือและท่าเรือทราบ
1.7 รัฐภาคีสามารถแต่งตั้งหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายของรัฐเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยภายใต้บทที่
11-2 และภาค ก.ของประมวลข้อบังคับนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับท่าเรือและอนุญาตให้องค์กรรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับ
(Recognized Security Organization : RSO) ดำเนินงานบางอย่างที่เกี่ยวกับท่าเรือ
แต่รัฐภาคีหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายควรจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับและการอนุมัติงานดังกล่าว
ทางการยังอาจมอบหมายการปฏิบัติหน้าที่ด้านการรักษาความปลอดภัยบางอย่างที่เกี่ยวกับเรือให้แก่องค์กรรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับ แต่หน้าที่หรือกิจกรรมดังต่อไปนี้ไม่สามารถมอบหมายให้องค์กรรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับดำเนินการได้
:
-
การกำหนดระดับของการรักษาความปลอดภัยที่จะใช้
-
การกำหนดว่าท่าเรือใดภายในอาณาเขตของตนจะต้องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รักษาความ
ปลอดภัยประจำท่าเรือซึ่งจะต้องรับผิดชอบในการจัดทำแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือ
-
การอนุมัติรายงานการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือหรือข้อแก้ไขในภายหลังของรายงานการประเมินที่ได้รับอนุมัติก่อนแล้ว
-
การอนุมัติแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือและข้อแก้ไขในภายหลังของแผนที่ได้รับอนุมัติก่อนแล้ว
-
การใช้มาตรการควบคุมและบังคับให้ปฏิบัติตาม
-
การจัดให้มีข้อกำหนดสำหรับปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัย
(Declaration of
Security)
การกำหนดระดับของการรักษาความปลอดภัย
1.8 รัฐภาคีจะรับผิดชอบในการกำหนดระดับของการรักษาความปลอดภัยที่จะใช้ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งและสามารถนำไปใช้บังคับกับเรือและท่าเรือได้ ภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้กำหนดระดับของการรักษาความปลอดภัยไว้ 3
ระดับสำหรับใช้ระหว่างประเทศ ดังนี้
-
ระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่ 1 ภาวะปกติ ;
ระดับที่เรือและท่าเรือปฏิบัติงานตามปกติ
-
ระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่ 2
ภาวะความเสี่ยงสูงกว่าปกติ ;
ระดับที่ใช้เมื่อมีความเสี่ยงต่อสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยสูงกว่าปกติ
และ
-
ระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่ 3 ภาวะความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ ;
ระดับที่ใช้ในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงต่อสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยที่มีความเป็นไปได้สูงหรือใกล้จะเกิดขึ้นจริง
บริษัทเรือและเรือ
1.9 บริษัทที่ประกอบการเดินเรือบริษัทใดที่อยู่ในขอบเขตการใช้บังคับของบทที่
11-2 และภาค ก.
ของประมวลข้อบังคับนี้จะต้องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำบริษัท (CSO)
และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเรือ
(SSO) สำหรับเรือแต่ละลำ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และข้อกำหนดในการฝึกอบรมของเจ้าหน้าที่เหล่านี้และข้อกำหนดในการฝึกปฏิบัติและการฝึกซ้อมมีรายละเอียดปรากฏในภาค
ก. ของประมวลข้อบังคับนี้
1.10 เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำบริษัทมีความรับผิดชอบโดยสังเขป
คือ การดำเนินการเพื่อให้มีการจัดทำรายงานการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของเรืออย่างเหมาะสม
มีการจัดทำและเสนอให้ทางการหรือตัวแทนของทางการพิจารณาอนุมัติแผนการรักษาความปลอดภัยของเรือ
และภายหลังได้เก็บแผนดังกล่าวไว้บนเรือแต่ละลำที่อยู่ในขอบเขตการใช้บังคับของภาค
ก. ของประมวลข้อบังคับนี้และที่อยู่ในความดูแลของบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำบริษัท
1.11 แผนการรักษาความปลอดภัยของเรือควรระบุถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยในเชิงปฏิบัติการและเชิงกายภาพ
ที่เรือควรนำมาใช้เพื่อให้สามารถดำเนินงานในระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่ 1
ได้ตลอด
1.12 เวลา แผนดังกล่าวควรระบุถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมหรือที่เข้มงวดขึ้นที่เรือสามารถนำมาใช้เพื่อเลื่อนไปดำเนินงานในระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่
2 เมื่อได้รับคำสั่งให้ดำเนินการ
นอกจากนี้ แผนดังกล่าวควรระบุถึงการเตรียมการที่เป็นไปได้ที่เรือสามารถปฏิบัติตามโดยไม่ชักช้าตามคำสั่งของผู้มีอำนาจในระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่
3
เพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือภัยคุกคามของเหตุการณ์ดังกล่าว
1.13 เรือตามข้อกำหนดของบทที่ 11-2 และภาค ก.ของประมวลข้อบังคับนี้จะต้องมีหรือดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการรักษาความปลอดภัยของเรือที่ได้รับอนุมัติจากทางการหรือตัวแทนของทางการ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำบริษัทและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเรือควรกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามแผนอย่างต่อเนื่องและบรรลุผลซึ่งรวมถึงการดำเนินการตรวจสอบภายในด้วย
ข้อแก้ไขไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก็ตามของแผนที่ได้รับอนุมัติแล้วซึ่งทางการกำหนดว่าจะต้องได้รับอนุมัติเสียก่อน
จะต้องนำเสนอเพื่อทบทวนและขออนุมัติก่อนที่จะบรรจุไว้ในแผนที่ได้รับอนุมัติแล้วและให้เรือนำไปปฏิบัติ
1.14 เรือจะต้องมีใบสำคัญรับรองว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยของเรือระหว่างประเทศ
(International Ship Security Certificate) ที่ระบุว่าเรือดังกล่าวได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของบทที่
11-2 และภาค ก.ของประมวลข้อบังคับนี้
รวมทั้งบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการตรวจสอบและการออกใบสำคัญรับรองการปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวของเรือบนพื้นฐานของการตรวจสอบครั้งแรกก่อนนำเรือออกใช้งาน
การตรวจสอบเพื่อออกใบสำคัญรับรองใหม่ และการตรวจสอบในช่วงกลางรอบระยะเวลา
1.15 เมื่อเรือเดินทางมาถึงท่าเรือหรือเดินทางไปยังท่าเรือของรัฐภาคี รัฐภาคีมีสิทธิตามบทบัญญัติของกฎข้อบังคับที่
11-2/9
ในการใช้มาตรการควบคุมและบังคับให้เรือนั้นปฏิบัติตาม
เรือจะต้องรับการตรวจสอบโดยการควบคุมของรัฐเมืองท่า
แต่ตามปกติการตรวจสอบดังกล่าวจะไม่ขยายไปถึงการตรวจสอบแผนการรักษาความปลอดภัยของเรือนั้นเองยกเว้นในกรณีเฉพาะบางกรณี นอกจากนี้ เรือยังอาจต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมเพิ่มเติมหากรัฐภาคีที่ใช้มาตรการควบคุมและบังคับให้ปฏิบัติตามหากมีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือหรือท่าเรือมีระดับต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
1.16 นอกจากนี้ยังกำหนดให้เรือต้องมีข้อมูลประจำบนเรือและเผยแพร่ให้รัฐภาคีอื่นทราบตามที่ได้รับการร้องขอ
ซึ่งระบุถึงผู้รับผิดชอบในการตัดสินใจว่าจ้างบุคลากรประจำเรือและการตัดสินใจในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับการจัดหาเรือมาใช้
ท่าเรือ
1.17 แต่ละรัฐภาคีจะต้องดำเนินการเพื่อให้มีการจัดทำรายงานการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือสำหรับท่าเรือแต่ละแห่งที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตของตนและให้บริการเรือที่เดินระหว่างประเทศ รัฐภาคี หน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย
หรือองค์กรรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับอาจเป็นผู้จัดทำรายงานการประเมินดังกล่าว
รายงานการประเมินที่จัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้วจะต้องได้รับอนุมัติจากรัฐภาคีหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้รับมอบหมาย
การอนุมัตินี้ไม่สามารถมอบหมายให้ผู้อื่นกระทำได้
รายงานการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือควรมีการทบทวนตามรอบระยะเวลาที่เหมาะสม
1.18 การประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือโดยพื้นฐานแล้วเป็นการวิเคราะห์ความเสี่ยงของการประกอบการท่าเรือหมดทุกด้านเพื่อกำหนดว่าส่วนใดของท่าเรือที่มีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามสูง
และ/หรือมีแนวโน้มจะถูกโจมตี
ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยขึ้นอยู่กับภัยคุกคามจากการโจมตี
จุดอ่อนของเป้าหมายและผลของการโจมตีดังกล่าว
รายงานการประเมินจะต้องครอบคลุมถึงองค์ประกอบดังต่อไปนี้
-
การกำหนดภัยคุกคามที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับส่วนติดตั้งและโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือ
-
การค้นหาจุดอ่อนที่มีอยู่
-
การคำนวณผลของภัยคุกคาม
เมื่อเสร็จสิ้นการวิเคราะห์
ก็จะทำให้สามารถประเมินระดับความเสี่ยงทั้งหมดได้
การประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือจะช่วยกำหนดว่าท่าเรือแห่งใดที่จำเป็นจะต้องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือและจัดทำแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือ
1.19 ท่าเรือซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของบทที่
11-2 และภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้จะต้องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือ
หน้าที่ ความรับผิดชอบ
และข้อกำหนดในการฝึกอบรมของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวตลอดจนข้อกำหนดในการฝึกปฏิบัติและการฝึกซ้อมมีรายละเอียดปรากฏในภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้
1.20 แผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือควรระบุถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยทั้งในด้านการดำเนินงานและทางกายภาพที่ท่าเรือควรนำมาใช้เพื่อให้ท่าเรือสามารถประกอบการในระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่
1 ได้ตลอดเวลา แผนดังกล่าวควรระบุถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมหรือที่เข้มงวดขึ้นที่ท่าเรือสามารถนำมาใช้เพื่อเลื่อนขึ้นไปดำเนินงานในระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่
2 เมื่อได้รับคำสั่ง นอกจากนี้
แผนดังกล่าวควรระบุถึงการเตรียมการที่เป็นไปได้ที่ท่าเรือสามารถนำมาใช้ตามคำสั่งของผู้มีอำนาจในการรักษาความปลอดภัยในระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่
3
1.21 ท่าเรือซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของบทที่
11-2 และภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้จะต้องมีและดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือที่ได้รับอนุมัติจากรัฐภาคีหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้รับมอบหมาย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือควรปฏิบัติตามข้อกำหนดของแผนและกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามแผนอย่างต่อเนื่องและบรรลุผลซึ่งรวมถึงการดำเนินการตรวจสอบภายในของการปฏิบัติตามแผนด้วย
ข้อแก้ไขไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก็ตามของแผนที่ได้รับอนุมัติแล้วซึ่งรัฐภาคีหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายกำหนดว่าจะต้องได้รับอนุมัติก่อน
จะต้องนำเสนอเพื่อทบทวนและขออนุมัติก่อนที่จะบรรจุไว้ในแผนที่ได้รับอนุมัติแล้วและนำไปปฏิบัติที่ท่าเรือต่อไป
รัฐภาคีหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้รับมอบหมายอาจทำการทดสอบประสิทธิผลของแผน
รายงานการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือที่ใช้เป็นพื้นฐานในการจัดทำแผนควรมีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ
กิจกรรมเหล่านี้ทั้งหมดอาจนำไปสู่การแก้ไขแผนที่ได้รับอนุมัติแล้ว ข้อแก้ไขใด ๆ
ในส่วนย่อยของแผนที่ได้รับอนุมัติแล้วจะต้องนำเสนอเพื่อขออนุมัติจากรัฐภาคีหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้รับมอบหมาย
1.22 เรือที่ใช้ท่าเรือดังกล่าวข้างต้นอาจต้องรับการตรวจสอบจากการควบคุมโดยรัฐเมืองท่าและมาตรการควบคุมเพิ่มเติมที่ระบุไว้โดยสังเขปในกฎข้อบังคับที่
11-2/9
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจร้องขอให้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับเรือ สินค้า ผู้โดยสาร
และคนประจำเรือก่อนที่เรือจะเข้าเทียบท่า
ซึ่งอาจมีบางกรณีที่ไม่อนุญาตให้เรือเข้าเทียบท่า
การแจ้งข้อมูล
1.23 บทที่ 11-2 และ ภาค ก.ของประมวลข้อบังคับนี้กำหนดให้รัฐภาคีต้องส่งข้อมูลบางรายการให้องค์การทางทะเลระหว่างประเทศและข้อมูลที่จะต้องจัดเตรียมไว้เพื่อให้มีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิผลระหว่างรัฐภาคีต่าง
ๆ และระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำบริษัท/เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเรือและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือ
2 คำนิยาม
2.1
ไม่มีแนวทางสำหรับคำนิยามที่กำหนดไว้ในบทที่
11-2 หรือ ภาค ก.ของประมวลข้อบังคับนี้
2.2
เพื่อจุดมุ่งหมายของภาค
ข.ของประมวลข้อบังคับนี้:
.1 ส่วน (section) หมายถึง
ส่วนของภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้และระบุเป็น “ส่วน ก./<ตามด้วยหมายเลขของส่วนนั้น>”
.2 วรรค (paragraph) หมายถึง
วรรคของภาค ข.
ของประมวลข้อบังคับนี้และระบุเป็น “วรรค <ตามด้วยหมายเลขของวรรคนั้น>” และ
.3 รัฐภาคี เมื่อใช้ในวรรคที่
14 – 18 หมายถึง
รัฐภาคีที่ท่าเรือนั้นตั้งอยู่ภายในอาณาเขตของรัฐนั้น
และรวมถึงการใช้เพื่ออ้างอิงถึงหน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย
3. ขอบเขตการใช้บังคับ
บททั่วไป
3.1
เมื่อมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดของบทที่ 11-2 และภาค ก.
ของประมวลข้อบังคับนี้ ควรคำนึงถึงแนวทางที่ให้ไว้ในภาค ข.ของประมวลข้อบังคับนี้
3.2
อย่างไรก็ดี
ควรตระหนักว่าขอบเขตการใช้บังคับของแนวทางการรักษาความปลอดภัยของเรือจะขึ้นอยู่กับประเภทของเรือ
สินค้า และ/หรือผู้โดยสาร รูปแบบการค้า
และลักษณะของท่าเรือที่เรือนั้นเข้าเทียบท่า
3.3
ในทำนองเดียวกัน
ขอบเขตการใช้บังคับของแนวทางการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือจะขึ้นอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ของท่าเรือ ประเภทของเรือที่มาใช้ท่าเรือ ประเภทของสินค้าและ/หรือผู้โดยสาร
และรูปแบบการค้าของเรือที่เข้าเทียบท่า
3.4
บทบัญญัติของบทที่ 11-2 และภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้จะไม่ใช้บังคับกับท่าเรือที่ออกแบบและใช้เพื่อจุดมุ่งหมายทางการทหารเป็นหลัก
4 ความรับผิดชอบของรัฐภาคี
การประเมินและแผนรักษาความปลอดภัย
4.1
รัฐภาคีจะต้องดำเนินการเพื่อให้มีการใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้มีการเปิดเผยหรือการเข้าถึงข้อมูลที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในส่วนที่เกี่ยวกับการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของเรือ
แผนการรักษาความปลอดภัยของเรือ การประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือ และแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือ
และการประเมินหรือแผนนั้นต่างหากโดยไม่ได้รับอนุญาต
หน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย
4.2
รัฐภาคีอาจกำหนดหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายของรัฐเพื่อปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยในส่วนที่เกี่ยวกับท่าเรือตามที่กำหนดไว้ในบทที่
11-2 หรือภาค ก.ของประมวลข้อบังคับนี้
องค์กรรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับ
4.3
รัฐภาคีอาจมอบอำนาจให้องค์กรรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับ
(RSO) ดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยบางอย่าง
ได้แก่
.1
การอนุมัติแผนการรักษาความปลอดภัยของเรือ
หรือข้อแก้ไขต่อแผนดังกล่าว แทนทางการ
.2 การตรวจสอบและการออกใบสำคัญรับรองสำหรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดของบทที่
11-2 และ ภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้ของเรือแทนทางการ และ
.3 การจัดทำรายงานการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือตามที่รัฐภาคีกำหนด
4.4
RSO อาจให้คำแนะนำ
หรือให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทเรือหรือท่าเรือในเรื่องเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย
รวมทั้งการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของเรือ แผนการรักษาความปลอดภัยของเรือ
การประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือ
และแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือ
ซึ่งอาจรวมถึงการจัดทำรายงานการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของเรือหรือแผนการรักษาความปลอดภัยของเรือหรือรายงานการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือหรือแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือ ถ้า RSO เป็นผู้จัดทำรายงานการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของเรือหรือแผนการรักษาความปลอดภัยของเรือ RSO รายนั้นก็ไม่ควรได้รับมอบอำนาจให้อนุมัติแผนการรักษาความปลอดภัยของเรือนั้น
4.5
เมื่อมอบอำนาจให้แก่ RSO
รัฐภาคีควรพิจารณาความสามารถขององค์กรดังกล่าว
โดย RSO ที่ได้รับมอบอำนาจควรมีความสามารถดังนี้
.1 มีความเชี่ยวชาญในด้านที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย
.2 มีความรู้เกี่ยวกับการประกอบการเรือและท่าเรืออย่างเหมาะสม
ซึ่งได้แก่
ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบและต่อสร้างเรือในกรณีที่ให้บริการแก่เรือ
และมีความรู้เกี่ยวกับการออกแบบและก่อสร้างท่าเรือในกรณีที่ให้บริการแก่ท่าเรือ
.3 มีความสามารถในการประเมินความเสี่ยงต่อสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการประกอบการของเรือและท่าเรือ
รวมทั้งจุดเชื่อมต่อระหว่างเรือ/ท่าเรือ และวิธีลดความเสี่ยงดังกล่าว
.4 มีความสามารถในการรักษาและพัฒนาความเชี่ยวชาญของบุคลากรของตน
.5 มีความสามารถในการกำกับดูแลบุคลากรของตนให้มีความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง
.6 มีความสามารถในการใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยหรือเข้าถึงข้อมูลที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยโดยไม่ได้รับอนุญาต
.7 มีความรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดของบทที่
11-2 และภาค ก.ของประมวลข้อบังคับนี้
และกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนข้อกำหนดด้านการรักษาความปลอดภัยต่างๆ
.8 มีความรู้เกี่ยวกับรูปแบบต่าง
ๆ ของภัยคุกคามต่อความปลอดภัยในปัจจุบัน
.9 มีความรู้เกี่ยวกับอาวุธ
สารและอุปกรณ์ที่เป็นอันตราย และการค้นหาอาวุธ สาร และอุปกรณ์ดังกล่าว
.10 มีความรู้เกี่ยวกับลักษณะและรูปแบบพฤติกรรมของบุคคลที่มีแนวโน้มจะเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ
.11 มีความรู้เกี่ยวกับเทคนิคที่ใช้ในการจัดทำมาตรการรักษาความปลอดภัย
.12 มีความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์และระบบรักษาความปลอดภัยและเตือนภัย
ตลอดจนข้อจำกัดในการใช้งานของอุปกรณ์และระบบดังกล่าว
เมื่อมอบหมายหน้าที่เฉพาะอย่างให้ RSO ปฏิบัติ
รัฐภาคีรวมทั้งทางการจะต้องดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่า RSO
มีความสามารถที่จำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงานจริง
4.6
ทางการอาจแต่งตั้งองค์กรที่ได้รับการยอมรับตามที่อ้างถึงในกฎข้อบังคับที่
1/6
และการปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎข้อบังคับที่ 11-1/1 ให้เป็น RSO
หากองค์กรดังกล่าวมีความเชี่ยวชาญที่เหมาะสมเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยตามที่ระบุไว้ในวรรค
4.5
4.7
รัฐภาคีอาจแต่งตั้งการท่าเรือหรือผู้ประกอบการท่าเรือเป็น
RSO หากมีความเชี่ยวชาญที่เหมาะสมเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยตามที่ระบุไว้ในวรรค
4.5
การกำหนดระดับของการรักษาความปลอดภัย
4.8
ในการกำหนดระดับของการรักษาความปลอดภัย
รัฐภาคีจะต้องคำนึงถึงข้อมูลภัยคุกคามทั้งที่เป็นข้อมูลทั่วไปและข้อมูลเฉพาะ
รัฐภาคีควรกำหนดระดับของการรักษาความปลอดภัยที่ใช้กับเรือหรือท่าเรือหนึ่งในสามระดับดังต่อไปนี้
-
ระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่ 1
ภาวะปกติ ;
ระดับที่เรือและท่าเรือดำเนินงานตามปกติ
-
ระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่ 2
ภาวะความเสี่ยงสูงกว่าปกติ ;
ระดับที่ใช้เมื่อมีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยสูงกว่าปกติ
และ
-
ระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่ 3
ภาวะความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ ;
ระดับที่ใช้ในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยที่มีความเป็นไปได้สูงหรือใกล้จะเกิดขึ้นจริง
4.9
การกำหนดระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่
3 ควรเป็นมาตรการพิเศษที่ใช้เฉพาะเมื่อมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่าเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นสูงหรือใกล้จะเกิดขึ้นจริง
ขณะที่ระดับการรักษาความปลอดภัยอาจเปลี่ยนจากระดับที่ 1 เป็นระดับที่ 2
จนถึงระดับที่ 3 แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันที่ระดับการรักษาความปลอดภัยจะเปลี่ยนแปลงโดยตรงจากระดับที่
1 เป็นระดับที่ 3
4.10
นายเรือมีความรับผิดชอบขั้นสุดท้ายในการดูแลให้เรือมีความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยตลอดเวลา แม้ในระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่ 3
ผู้ควบคุมเรืออาจพิจารณาทบทวนหรือปรับปรุงแก้ไขคำสั่งที่ออกโดยผู้มีอำนาจในการรักษาความปลอดภัย
เมื่อมีเหตุให้เชื่อได้ว่าคำสั่งนั้นอาจเป็นอันตรายต่อเรือ
4.11
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำบริษัท
หรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเรือควรประสานงานกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือของท่าเรือที่เรือนั้นตั้งใจจะเข้าเทียบท่าในโอกาสแรกเพื่อกำหนดระดับการรักษาความปลอดภัยที่ต้องใช้กับเรือนั้นที่ท่าเรือ เมื่อได้ประสานกับทางเรือแล้ว
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือควรให้คำแนะนำแก่เรือเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงใด
ๆ ในระดับการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือและควรให้ข้อมูลการรักษาความปลอดภัยในส่วนที่เกี่ยวข้องแก่เรือนั้น
4.12
ขณะที่อาจมีกรณีที่เรือที่มีการรักษาความปลอดภัยในระดับที่สูงกว่ากำลังมาเข้าเทียบท่าเรือที่มีการรักษาความปลอดภัยในระดับที่ต่ำกว่า
แต่จะต้องไม่มีกรณีที่เรือมีการรักษาความปลอดภัยในระดับที่ต่ำกว่าท่าเรือที่เรือนั้นจะเข้าเทียบท่า
ถ้าเรือมีการรักษาความปลอดภัยในระดับที่สูงกว่าท่าเรือที่ต้องการเข้าเทียบท่า
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำบริษัทหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเรือควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือทราบโดยไม่ชักช้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือควรทำการประเมินสถานการณ์นั้น
ๆ
โดยปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำบริษัทหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเรือ
และหาข้อยุติเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมที่จะใช้กับเรือนั้น
ซึ่งอาจรวมถึงการจัดทำและการลงนามในปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัย (Declaration
of Security)
4.13
รัฐภาคีควรพิจารณาหาแนวทางที่จะช่วยให้มีการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงในระดับการรักษาความปลอดภัยอย่างรวดเร็ว ทางการอาจพิจารณาใช้ข่าวสาร NAVTEX
หรือประกาศชาวเรือเป็นวิธีแจ้งความเปลี่ยนแปลงในระดับการรักษาความปลอดภัยแก่เรือ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำบริษัทและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเรือ
หรือทางการอาจพิจารณาใช้วิธีการสื่อสารอื่นที่มีความรวดเร็วและครอบคลุมสาระได้เท่ากันหรือดีกว่า
รัฐภาคีควรกำหนดวิธีแจ้งความเปลี่ยนแปลงในระดับการรักษาความปลอดภัยให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือทราบด้วย
รัฐภาคีควรรวบรวมและเก็บรักษารายชื่อและรายละเอียดการติดต่อประสานงานของผู้ที่จำเป็นจะต้องแจ้งให้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงในระดับการรักษาความปลอดภัย ขณะที่ระดับการรักษาความปลอดภัยไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวมากนัก
แต่ข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามที่อยู่เบื้องหลังการใช้ระดับการรักษาความปลอดภัยนั้นอาจเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวมากก็ได้
รัฐภาคีควรพิจารณาประเภทและรายละเอียดของข้อมูลที่จะส่งตลอดจนวิธีที่จะส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเรือ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำบริษัท
และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรืออย่างระมัดระวัง
ผู้ประสานงานและข้อมูลเกี่ยวกับแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือ
4.14
ในท่าเรือที่มีแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือ
จะต้องแจ้งให้องค์การทางทะเลระหว่างประเทศทราบและต้องแจ้งข้อมูลดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำบริษัทและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเรือทราบด้วย
จะต้องไม่มีการตีพิมพ์เผยแพร่รายละเอียดของแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือนอกจากในส่วนที่ระบุว่าได้มีการจัดทำแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือแล้วเท่านั้น
รัฐภาคีควรพิจารณาจัดตั้งผู้ประสานงานส่วนกลางหรือระดับภูมิภาคหรือกำหนดวิธีอื่นในการให้ข้อมูลที่ทันสมัยเกี่ยวกับสถานที่ที่เก็บรักษาแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือพร้อมทั้งรายละเอียดการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือที่เกี่ยวข้อง
ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงผู้ประสานงานดังกล่าวโดยทั่วกันด้วย
ผู้ประสานงานดังกล่าวอาจให้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับที่ได้รับแต่งตั้งเพื่อดำเนินการแทนรัฐภาคีพร้อมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับความรับผิดชอบและเงื่อนไขเฉพาะของอำนาจที่มอบให้แก่องค์กรรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับดังกล่าว
4.15
ในกรณีของท่าเรือที่ไม่มีแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือ
(ดังนั้นจึงไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือ)
ผรือabb41-56 Ranong Road, Klongtoey, Bangkok
10110ู้ประสานงานส่วนกลางหรือระดับภูมิภาคควรจะสามารถหาบุคคลที่มีความเหมาะสมบนฝั่งที่จะสามารถจัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมระหว่างที่เรือเข้าเทียบท่าในกรณีที่จำเป็น
4.16
รัฐภาคีควรจัดให้มีรายละเอียดการติดต่อประสานงานเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเรือ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำบริษัท
และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือจะต้องรายงานให้ทราบถึงเรื่องต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย
เจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านี้ควรประเมินรายงานดังกล่าวก่อนที่จะดำเนินการตามที่เห็นสมควร
เรื่องที่รายงานอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยที่อยู่ในอำนาจของรัฐภาคีอื่น ในกรณีเช่นว่านั้น รัฐภาคีควรพิจารณาติดต่อผู้ประสานงานในรัฐภาคีอื่นเพื่อหารือว่ามาตรการที่ใช้มีความเหมาะสมหรือไม่ เพื่อจุดมุ่งหมายนี้
ควรแจ้งรายละเอียดการติดต่อประสานงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐให้องค์การทางทะเลระหว่างประเทศทราบด้วย
4.17
รัฐภาคีควรแจ้งข้อมูลที่ระบุไว้ในวรรค 4.14
ถึง 4.16 ให้รัฐภาคีอื่นทราบหากมีการร้องขอ
เอกสารรับรอง
(Identification documents)
4.18
รัฐภาคีควรออกเอกสารรับรองให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับมอบหมายให้ขึ้นไปบนเรือหรือเข้าไปในท่าเรือเพื่อปฏิบัติหน้าที่
และจัดให้มีขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อตรวจสอบความเชื่อถือได้ของเอกสารรับรองดังกล่าวด้วย
แท่นตรึงอยู่กับที่และแท่นลอยและแท่นขุดเจาะนอกฝั่งที่เคลื่อนที่ได้ในพื้นที่
4.19
รัฐภาคีควรพิจารณากำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมสำหรับแท่นตรึงอยู่กับที่และแท่นลอยและแท่นขุดเจาะนอกฝั่งที่เคลื่อนที่ได้ในพื้นที่
เพื่อให้สามารถติดต่อกับเรือที่กำหนดให้ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของบทที่ 11-2 และภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้
เรือที่ไม่ถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติตามภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้
4.20
รัฐภาคีควรพิจารณากำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเพื่อเสริมสร้างการรักษาความปลอดภัยของเรือที่ไม่อยู่ในขอบเขตการใช้บังคับของบทที่
11-2 และภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้และดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยใด
ๆ
ที่ใช้กับเรือดังกล่าวยอมให้มีการติดต่อกับเรือที่อยู่ในขอบเขตการใช้บังคับของภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้
ภัยคุกคามต่อเรือและเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในทะเลอื่นๆ
4.21
รัฐภาคีควรจะให้แนวทางทั่วไปเกี่ยวกับมาตรการที่พิจารณาเห็นว่าเหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเรือที่ชักธงของรัฐภาคีนั้นเมื่อออกทะเล
รัฐภาคีควรให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับสิ่งที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับระดับการรักษาความปลอดภัยระดับที่
1 ถึง 3 หาก:
.1 มีความเปลี่ยนแปลงในระดับการรักษาความปลอดภัยที่ใช้กับเรือระหว่างที่ออกทะเล เช่น
เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ซึ่งเรือนั้นปฏิบัติการอยู่หรือเกี่ยวข้องกับเรือนั้นเอง
และ
.2 มีเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือภัยคุกคามจากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกี่ยวกับเรือในขณะที่ออกทะเล
รัฐภาคีควรกำหนดวิธีและขั้นตอนการปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับจุดประสงค์ดังกล่าว ในกรณีของการโจมตีที่ใกล้จะเกิดขึ้น
เรือควรจัดให้มีการสื่อสารโดยตรงกับผู้มีอำนาจในการรักษาความปลอดภัยของรัฐเจ้าของธง
4.22
รัฐภาคีควรจัดตั้งผู้ประสานงานสำหรับให้คำปรึกษาด้านการรักษาความปลอดภัยแก่เรือใด
ๆ:
.1 ที่ชักธงของรัฐภาคีนั้น
.2 ที่ประกอบการในทะเลอาณาเขตหรือได้แจ้งความประสงค์ที่จะเข้าไปในทะเลอาณาเขต
4.23
รัฐภาคีควรให้คำปรึกษาแก่เรือที่ประกอบการในทะเลอาณาเขตหรือได้แจ้งความประสงค์ที่จะเข้าไปในทะเลอาณาเขต
ซึ่งควรจะเป็นคำปรึกษาเกี่ยวกับ
.1 การเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือตามแผนหรือการเดินเรือตามแผนเกิดความล่าช้า
.2 การเดินเรือในเส้นทางนั้น ๆ
หรือการเดินทางไปยังสถานที่เฉพาะเจาะจง
.3 บุคลากรหรืออุปกรณ์ที่ควรมีประจำบนเรือ
.4 การประสานงานในการเดินทาง
การเข้าเทียบท่าหรือออกจากท่า เพื่อให้เรือหรือเครื่องบินตรวจการณ์
(ชนิดมีปีกหรือเฮลิคอปเตอร์) สามารถให้ความคุ้มครองได้
รัฐภาคีควรเตือนให้เรือที่ประกอบการในทะเลอาณาเขตหรือได้แจ้งความประสงค์ที่จะเข้าไปในทะเลอาณาเขตทราบถึงพื้นที่หวงห้ามชั่วคราวที่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่แล้ว
4.24
รัฐภาคีควรแนะนำให้เรือที่ประกอบการในทะเลอาณาเขตหรือได้แจ้งความประสงค์ที่จะเข้าไปในทะเลอาณาเขตดำเนินมาตรการรักษาความปลอดภัยใด
ๆ
ที่รัฐภาคีอาจให้คำแนะนำแล้วโดยเร่งด่วนเพื่อเป็นการคุ้มครองเรือนั้นและเรืออื่นในพื้นที่ใกล้เคียง
4.25
แผนที่รัฐภาคีจัดทำเพื่อจุดประสงค์ตามที่ระบุไว้ในวรรค
4.22 ควรครอบคลุมถึงข้อมูลเกี่ยวกับผู้ติดต่อประสานงานที่เหมาะสม
โดยให้พร้อมปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง ภายในรัฐภาคีซึ่งรวมถึงทางการด้วย
แผนดังกล่าวควรจะครอบคลุมถึงสถานการณ์ที่ทางการพิจารณาเห็นว่าควรขอความช่วยเหลือจากรัฐชายฝั่งใกล้เคียงตลอดจนขั้นตอนการประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเรือ
ความตกลงเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย
4.26
ในการพิจารณาวิธีดำเนินการตามบทที่ 11-2 และภาค
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้ รัฐภาคีอาจจัดทำความตกลงกับรัฐภาคีอื่น ขอบเขตของความตกลงจะจำกัดอยู่ที่การเดินทางระหว่างประเทศระยะสั้นในเส้นทางที่แน่นอนระหว่างท่าเรือในอาณาเขตของรัฐที่เป็นภาคีความตกลง
หลังจากที่ได้จัดทำความตกลงแล้วรัฐภาคีควรปรึกษาหารือกับรัฐภาคีและทางการอื่นที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลของความตกลงนั้น
เรือที่ชักธงของรัฐที่ไม่ได้เป็นภาคีความตกลงควรให้เดินในเส้นทางที่แน่นอนที่กำหนดไว้ในความตกลงนั้นหากทางการของรัฐภาคีดังกล่าวเห็นว่าเรือนั้นควรปฏิบัติตามบทบัญญัติของความตกลงและได้กำหนดให้เรือนั้นต้องปฏิบัติตาม แต่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ
ความตกลงนั้นจะต้องไม่มีการผ่อนปรนเกี่ยวกับระดับของการรักษาความปลอดภัยของเรือและท่าเรืออื่นที่ไม่อยู่ภายใต้ความตกลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือทุกลำที่อยู่ภายใต้ความตกลงดังกล่าวอาจไม่ปฏิบัติการร่วมกับเรือที่ไม่อยู่ภายใต้ความตกลง
แต่ความตกลงนี้ควรครอบคลุมถึงการเชื่อมต่อการปฏิบัติงาน (operational
interface) ของเรือภายใต้ความตกลงด้วย โดยจะต้องมีการกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามความตกลงดังกล่าวอย่างต่อเนื่องและแก้ไขเมื่อมีความจำเป็นและควรมีการทบทวนทุก
5 ปี
การใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยในระดับเดียวกันสำหรับท่าเรือ
4.27
สำหรับท่าเรือบางแห่งที่มีการปฏิบัติการขนถ่ายสินค้าจำกัดหรือเป็นพิเศษแต่มีเรือเข้าเทียบท่าไม่มากนัก
ควรจะดำเนินการเพื่อให้มีการปฏิบัติตามประมวลข้อบังคับนี้โดยใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยในระดับที่เท่ากันกับมาตรการที่ระบุไว้ในบทที่
11-2 และในภาค ก.ของประมวลข้อบังคับนี้
กรณีนี้อาจเป็นกรณีของท่าเรือที่อยู่ติดกับโรงงาน หรือท่าเทียบเรือที่ไม่ค่อยมีการปฏิบัติการขนถ่ายสินค้าบ่อยครั้งนัก
ระดับการบรรจุคนประจำเรือ
4.28
ในการกำหนดจำนวนคนประจำเรือขั้นต่ำเพื่อความปลอดภัยของเรือ
ทางการต้องคำนึงถึงบทบัญญัติว่าด้วยจำนวนคนประจำเรือขั้นต่ำเพื่อความปลอดภัยที่กำหนดโดยกฎข้อบังคับที่
5/14 ซึ่งให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในการเดินเรือเป็นหลัก
ทางการควรคำนึงถึงภาระงานที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากการใช้แผนการรักษาความปลอดภัยของเรือและการดำเนินการเพื่อให้มีการจัดคนประจำเรืออย่างเพียงพอและมีประสิทธิผลด้วย
การที่จะทำเช่นนั้นได้ทางการควรทำการตรวจสอบด้วยว่าเรือสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับชั่วโมงพักผ่อน
และมาตรการที่เกี่ยวกับความเหนื่อยล้า ซึ่งประกาศใช้เป็นกฎหมายภายในประเทศ
โดยคำนึงถึงหน้าที่ต่างๆบนเรือที่ได้มอบหมายให้คนประจำเรือปฏิบัติ
มาตรการควบคุมและบังคับให้ปฏิบัติตาม
บททั่วไป
4.29
กฎข้อบังคับที่ 11-2/9 อธิบายถึงมาตรการควบคุมและบังคับให้ปฏิบัติตามซึ่งใช้บังคับกับเรือภายใต้บทที่
11-2 กฎข้อบังคับนี้แบ่งออกเป็นสามส่วนหลักๆคือ
การควบคุมเรือในเมืองท่า การควบคุมเรือที่ประสงค์จะเข้าท่าของรัฐภาคีอื่น
และบทบัญญัติเพิ่มเติมซึ่งใช้บังคับกับทั้งสองสถานการณ์
4.30
กฎข้อบังคับที่ 11-2/9.1 การควบคุมเรือในเมืองท่า
เป็นการปฏิบัติตามระบบสำหรับการควบคุมเรือขณะที่อยู่ในเมืองท่าต่างประเทศโดยให้เจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบอำนาจจากรัฐภาคี
(“เจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบอำนาจ”)
มีสิทธิที่จะลงเรือเพื่อทำการตรวจสอบว่าใบสำคัญรับรองตามข้อกำหนดอยู่ในสภาพที่เหมาะสม
หลังจากนั้นถ้ามีมูลเหตุที่ชัดเจนพอให้เชื่อได้ว่าเรือไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัย
ก็อาจใช้มาตรการควบคุม เช่น การตรวจเพิ่มเติมหรือการกักเรือได้
สิ่งนี้สะท้อนถึงระบบควบคุมในปัจจุบัน กฎข้อบังคับที่ 11-2/9.1
มีพื้นฐานอยู่บนระบบดังกล่าวและอนุญาตให้มีมาตรการเพิ่มเติม(ซึ่งรวมถึงการไล่เรือออกจากเมืองท่าซึ่งจัดว่าเป็นมาตรการควบคุมอย่างหนึ่ง)
เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบอำนาจมีมูลเหตุที่ชัดเจนพอให้เชื่อได้ว่าเรือไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของบทที่
11-2 หรือภาค ก. ของประมวลข้อบังคับนี้
กฎข้อบังคับที่ 11-2/9.3
อธิบายถึงมาตรการคุ้มครองที่ส่งเสริมให้มีการปฏิบัติตามมาตรการเพิ่มเติมเหล่านี้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
4.31
กฎข้อบังคับที่ 11-2/9.2
เป็นการนำมาตรการควบคุมมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่าเรือที่ประสงค์จะเข้าท่าของรัฐภาคีอื่นได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดและเป็นการนำแนวคิดในการควบคุมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงภายใต้บทที่
11-2 มาใช้กับการรักษาความปลอดภัยเท่านั้น
ภายใต้กฎข้อบังคับนี้
อาจนำมาตรการควบคุมมาใช้ก่อนที่เรือจะเข้าท่าได้เพื่อให้เกิดความแน่ใจในการรักษาความปลอดภัยยิ่งขึ้น
ดังเช่นในกฎข้อบังคับที่ 11-2/9.1 มาตรการควบคุมเพิ่มเติมนี้มีพื้นฐานจากแนวคิดเรื่องมูลเหตุที่ชัดเจนพอให้เชื่อได้ว่าเรือไม่ได้ปฏิบัติตามตามข้อกำหนดของบทที่
11-2 หรือ ภาค ก. ของประมวลข้อบังคับนี้
รวมถึงมาตรการคุ้มครองที่สำคัญในกฎข้อบังคับที่ 11-2/9.2.2 และ 11-2/9.2.5 รวมทั้งในกฎข้อบังคับที่ 11-2/9.2.3
4.32
มูลเหตุที่ชัดเจนที่แสดงว่าเรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด
หมายถึงหลักฐานหรือข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่าเรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของบทที่ 11-2 หรือภาค ก.
ของประมวลข้อบังคับนี้
เมื่อคำนึงถึงแนวทางที่ให้ไว้ในส่วนนี้ของประมวลข้องบังคับนี้
หลักฐานหรือข้อมูลที่เชื่อถือได้นั้นอาจเกิดจากการใช้ดุลพินิจทางวิชาชีพของเจ้าหน้าที่ผู้รับมอบอำนาจในขณะที่ทำการตรวจสอบใบสำคัญรับรองว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยของเรือระหว่างประเทศ
หรือ ใบสำคัญรับรองว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยของเรือระหว่างประเทศชั่วคราว
ที่ออกให้ตามภาค ก.ของประมวลข้อบังคับนี้ (“ใบสำคัญรับรอง”)
หรือ
จากแหล่งอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะมีใบสำคัญรับรองที่ใช้ได้และมีผลทางกฎหมายอยู่บนเรือ
เจ้าหน้าที่ผู้รับมอบอำนาจอาจจะยังคงมีมูลเหตุที่ชัดเจนที่ทำให้เชื่อได้ว่าเรือไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดโดยมีพื้นฐานจากการใช้ดุลพินิจทางวิชาชีพ
4.33
ตัวอย่างของมูลเหตุที่ชัดเจนที่เป็นไปได้ภายใต้กฎข้อบังคับที่
11-2/9.1 และ 11-2/9.2 อาจรวมถึง
.1 หลักฐานจากการตรวจใบสำคัญรับรองที่ไม่ถูกต้องหรือหมดอายุแล้ว
.2
หลักฐานหรือข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่ามีข้อบกพร่องร้ายแรงในอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย
การจัดทำเอกสาร หรือการจัดการตามที่กำหนดไว้ใน บทที่ 11-2 และภาค ก.
ของประมวลข้อบังคับนี้
.3 การได้รับรายงานหรือคำร้องเรียนซึ่งตามดุลพินิจทางวิชาชีพของเจ้าหน้าที่ผู้รับมอบอำนาจแล้ว
มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือบ่งชี้ว่าเรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของบทที่ 11-2 และภาค ก.
ของประมวลข้อบังคับนี้
.4 หลักฐานหรือการสังเกตการณ์ที่เจ้าหน้าที่ผู้รับมอบอำนาจพบโดยใช้ดุลพินิจทางวิชาชีพว่านายเรือหรือคนประจำเรือไม่คุ้นเคยกับขั้นตอนการปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยที่สำคัญบนเรือ
หรือ ไม่สามารถทำการฝึกปฏิบัติที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของเรือ
หรือไม่เคยดำเนินการตามขั้นตอนการปฏิบัติหรือการฝึกปฏิบัตินั้นๆเลย
.5 หลักฐานหรือการสังเกตการณ์ที่เจ้าหน้าที่ผู้รับมอบอำนาจพบโดยใช้ดุลพินิจทางวิชาชีพว่าคนประจำเรือที่สำคัญไม่สามารถทำการสื่อสารได้อย่างเหมาะสมกับคนประจำเรือที่สำคัญอื่นๆ
ที่รับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยบนเรือ
.6 หลักฐานหรือข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่ามีคนลงเรือหรือเรือได้บรรทุกสิ่งของหรือสินค้าจากท่าเรือหรือจากเรือลำอื่นซึ่งท่าเรือหรือเรือลำอื่นนั้นได้ฝ่าฝืนบทที่
11-2 และภาค ก. ของประมวลข้อบังคับนี้
และเรือที่มีปัญหาไม่ได้ทำปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยหรือไม่ได้ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมเป็นพิเศษ
หรือที่เหมาะสม
หรือไม่ได้รักษาการดำเนินการตามขั้นตอนการปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยของเรือที่เหมาะสม
.7 หลักฐานหรือข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่ามีคนลงเรือหรือเรือได้บรรทุกสิ่งของหรือสินค้าจากท่าเรือหรือจากแหล่งอื่น
(เช่น เรือลำอื่นหรือการขนย้ายด้วยเฮลิคอปเตอร์)
ซึ่งท่าเรือหรือแหล่งอื่นนั้นไม่ถูกบังคับให้ปฏิบัติตามบทที่
11-2 และภาค ก. ของประมวลข้อบังคับนี้
และเรือไม่ได้ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมเป็นพิเศษหรือที่เหมาะสม
หรือไม่ได้รักษาการดำเนินการตามขั้นตอนการปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยของเรือที่เหมาะสม
และ
.8 เรือถือใบสำคัญรับรองว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยของเรือระหว่างประเทศชั่วคราวที่ออกให้ภายหลังดังที่อธิบายไว้ใน
ภาค ก/19.4
และถ้าในดุลพินิจทางวิชาชีพของเจ้าหน้าที่ผู้รับมอบอำนาจเห็นว่าจุดประสงค์หนึ่งของเรือหรือบริษัทที่ขอใบสำคัญรับรองนั้นคือเพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามตามบทที่
11-2 และภาค ก.
ของประมวลข้อบังคับนี้อย่างครบถ้วน
เมื่อพ้นกำหนดอายุของใบสำคัญรับรองชั่วคราวดังอธิบายไว้ในภาค ก/19.4.4
4.34
นัยยะทางกฎหมายระหว่างประเทศของกฎข้อบังคับที่
11-2/9 มีความสำคัญอย่างยิ่งเป็นการเฉพาะ
และควรปฏิบัติตามกฎข้อบังคับนี้โดยคำนึงถึงกฎข้อบังคับที่ 11-2/2.4
เพราะอาจเป็นไปได้ที่จะเกิดสถานการณ์ที่ต้องใช้มาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตของบทที่
11-2
หรือเมื่อควรพิจารณาถึงสิทธิของเรือที่ได้รับผลกระทบซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตของบทที่
11-2 ดังนั้น กฎข้อบังคับที่ 11-2/9
ไม่ได้ห้ามรัฐภาคีจากการใช้มาตรการที่มีพื้นฐานอยู่บนหรือสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อให้มีความปลอดภัยหรือการรักษาความปลอดภัยของบุคคล
เรือ ท่าเรือ และทรัพย์สินอื่น ในกรณีที่แม้ว่าเรือจะปฏิบัติตามบทที่ 11-2 และภาค ก.
ของประมวลข้อบังคับนี้ แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงต่อการรักษาความปลอดภัยอยู่
4.35
เมื่อรัฐภาคีได้กำหนดมาตรการควบคุมสำหรับใช้กับเรือ
ควรแจ้งให้ทางการทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอโดยไม่ชักช้าเพื่อให้ทางการสามารถประสานงานได้อย่างเต็มที่กับรัฐภาคี
การควบคุมเรือในเมืองท่า
4.36
เมื่อมีการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดไม่ว่าจะเป็นข้อบกพร่องทางด้านอุปกรณ์หรือเอกสารที่ไม่ถูกต้องซึ่งนำไปสู่การกักเรือและไม่สามารถแก้ไขการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดนั้นในท่าเรือที่ทำการตรวจได้
รัฐภาคีอาจอนุญาตให้เรือเดินทางไปยังเมืองท่าอื่นโดยมีข้อแม้ว่าต้องได้ทำตามเงื่อนไขที่ตกลงกันระหว่างรัฐเมืองท่า
และทางการหรือนายเรือแล้ว
เรือที่มีความประสงค์จะเข้าเมืองท่าของรัฐภาคีอื่น
4.37
กฎข้อบังคับที่ 11-2/9.2.1
กำหนดรายการข้อมูลที่รัฐภาคีอาจร้องขอจากเรือเพื่อใช้เป็นเงื่อนไขสำหรับการเข้าท่า
ข้อมูลรายการหนึ่งก็คือการยืนยันการใช้มาตรการเพิ่มเติมหรือพิเศษของเรือในการเข้าท่าเรือ
10 ท่าที่ผ่านมา ตัวอย่างควรประกอบด้วย
.1 บันทึกมาตรการที่ใช้ระหว่างที่เข้าเทียบท่าเรือซึ่งอยู่ในอาณาเขตของประเทศที่ไม่ใช่รัฐภาคีโดยเฉพาะมาตรการซึ่งตามปกติท่าเรือที่อยู่ในอาณาเขตของรัฐภาคีจัดให้มี
และ
.2 ปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยที่ประกาศใช้กับท่าเรือหรือเรืออื่น
4.38
ข้อมูลอีกรายการหนึ่งที่อาจกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุญาตให้เรือเข้าท่าคือการยืนยันว่าเรือมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเหมาะสมในระหว่างการปฏิบัติการระหว่างเรือในระยะ
10 ครั้งหลังที่เรือเข้าเทียบท่า
ตามปกติข้อมูลดังกล่าวจะไม่ครอบคลุมถึงบันทึกการส่งเจ้าหน้าที่นำร่องหรือเจ้าหน้าที่ศุลกากร
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย การเติมน้ำมัน การขนถ่ายสินค้าลงเรือลำเลียง (lightering)
การบรรทุกเสบียงเรือและของใช้ที่จำเป็น
และการขนถ่ายของเสียจากเรือภายในเขตท่าเรือซึ่งตามปกติกิจกรรมเหล่านี้จะปรากฏอยู่ในแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือ ตัวอย่างของข้อมูลดังกล่าวได้แก่
.1 บันทึกมาตรการที่ใช้ขณะเมื่อมีการปฏิบัติการระหว่างเรือกับเรือที่ชักธงของรัฐที่ไม่ใช่รัฐภาคี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการที่ตามปกติเรือที่ชักธงของรัฐภาคีจัดให้มี
.2 บันทึกมาตรการที่ใช้ขณะเมื่อมีการปฏิบัติการระหว่างเรือกับเรือที่ชักธงของรัฐภาคีแต่ไม่ได้ถูกบังคับให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของบทที่
11-2 และภาค ก.ของประมวลข้อบังคับนี้ เช่น
สำเนาของใบสำคัญรับรองการรักษาความปลอดภัยที่ออกให้เรือนั้นภายใต้บทบัญญัติอื่น
และ
3 ในกรณีที่มีบุคคลหรือเรือที่ประสบภัยทางทะเลและได้รับการช่วยเหลืออยู่บนเรือ
ข้อมูลในกรณีนี้จะหมายถึงข้อมูลที่ทราบทั้งหมดเกี่ยวกับบุคคลหรือสินค้าดังกล่าว
รวมทั้งเอกสารหรือหลักฐานการแสดงตนและผลของการตรวจสอบที่ได้กระทำในฐานะตัวแทนของเรือเพื่อกำหนดสถานะความปลอดภัยของบุคคลหรือสินค้าที่ได้รับการช่วยเหลือ บทที่ 11-2 หรือภาคผนวก
ก.ของประมวลข้อบังคับนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้การส่งตัวบุคคลหรือสินค้าที่ประสบภัยทางทะเลไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยเกิดความล่าช้าหรือดำเนินการไม่ได้
แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ข้อมูลที่เหมาะสมอย่างเพียงพอแก่รัฐต่าง ๆ
เพื่อให้เกิดบูรณภาพในการรักษาความปลอดภัย
4.39
ตัวอย่างของข้อมูลที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยอื่น
ๆ
ที่กำหนดเป็นเงื่อนไขในการเข้าท่าเพื่อช่วยให้เกิดความแน่ใจในด้านความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยของบุคคล
ท่าเรือ เรือ และทรัพย์สินอื่น ๆ ได้แก่
.1 ข้อมูลที่อยู่ใน Continuous
Synopsis Record
.2 ตำแหน่งที่ตั้งของเรือขณะเวลาที่รายงาน
.3 เวลาที่คาดว่าเรือจะเดินทางมาถึงท่าเรือ
.4 บัญชีรายชื่อคนประจำเรือ
.5 รายละเอียดทั่วไปของสินค้าบนเรือ
.6 บัญชีรายชื่อผู้โดยสาร และ
.7 ข้อมูลที่กำหนดให้มีตามกฎข้อบังคับที่
11-2/5
4.40
กฎข้อบังคับที่ 11-2/9.2.5
อนุญาตให้นายเรือล้มเลิกความตั้งใจที่จะนำเรือเข้าท่าได้เมื่อได้รับแจ้งว่ารัฐชายฝั่งหรือรัฐเมืองท่าจะดำเนินมาตรการควบคุมตามกฎข้อบังคับที่
11-2/9.2 ถ้านายเรือล้มเลิกความตั้งใจดังกล่าวก็จะไม่นำกฎข้อบังคับที่
11-2/9 มาใช้บังคับ
และการดำเนินการตามขั้นตอนอื่นใดจะต้องอยู่บนพื้นฐานของและสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ
บทบัญญัติเพิ่มเติม
4.41
ในทุกกรณีที่มีการปฏิเสธไม่ให้เรือเข้าท่าหรือขับไล่เรือออกจากท่าเรือ
ควรแจ้งข้อเท็จจริงที่ทราบทั้งหมดให้หน่วยงานที่มีอำนาจของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทราบ การแจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวควรประกอบด้วย
.1 ชื่อเรือ สัญชาติเรือ
เลขหมายประจำเรือ สัญญาณเรียกขาน ประเภทของเรือและสินค้า
.2 สาเหตุที่ปฏิเสธไม่ให้เรือเข้าท่าหรือไล่เรือออกจากท่าหรือเขตท่าเรือ
.3 ลักษณะของการไม่ปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัย
.4 รายละเอียดของการดำเนินการเพื่อแก้ไขการไม่ปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัย
รวมถึงเงื่อนไขที่กำหนดแก่เรือสำหรับการเดินทางเที่ยวนั้น
.5 ท่าเรือที่เรือเข้าเทียบท่าก่อนหน้านี้และท่าเรือที่เรือจะเข้าเทียบท่าต่อไป
.6 เวลาที่เรือออกจากท่าและเวลาที่คาดว่าเรือจะเดินทางถึงท่าเรือต่อไป
.7 คำแนะนำที่ให้แก่เรือ เช่น
การรายงานตลอดเส้นทางเดินเรือ
.8 ข้อมูลเกี่ยวกับระดับของการรักษาความปลอดภัยของเรือนั้น
.9 ข้อมูลเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างรัฐเมืองท่าและทางการ
.10 จุดประสานงานภายในรัฐเมืองท่าเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
.11 บัญชีรายชื่อคนประจำเรือ
และ
.12 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
ที่จำเป็น
4.42
รัฐที่เกี่ยวข้องในการประสานงานควรรวมถึงรัฐที่เป็นทางผ่านของเรือในการเดินทางไปยังท่าเรือต่อไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรือนั้นตั้งใจจะเข้าไปในทะเลอาณาเขตของรัฐชายฝั่งนั้น รัฐที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อาจรวมถึงรัฐเมืองท่าที่เรือเข้าเทียบท่าก่อนหน้านี้
เพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมและได้ข้อยุติเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือที่เรือเข้าเทียบท่าก่อนหน้านี้
4.43
ในการใช้มาตรการควบคุมและบังคับให้ปฏิบัติตาม
เจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบอำนาจควรดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการหรือขั้นตอนที่กำหนดมีความเหมาะสม
มาตรการหรือขั้นตอนดังกล่าวควรมีความสมเหตุสมผลและควรมีบทลงโทษขั้นต่ำและกำหนดเวลาที่จำเป็นเพื่อแก้ไขให้มีการปฏิบัติตามประมวลข้อบังคับนี้
4.44
คำว่า “ทำให้เกิดความล่าช้า”
ในกฎข้อบังคับที่
11-2/9.3.5.1 ยังหมายถึงสถานการณ์ที่เมื่อมีการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับนี้
เรือยังถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเทียบท่าหรือเรือถูกขับไล่ออกจากท่าโดยไม่มีเหตุอันควร
เรือของรัฐที่ไม่ใช่รัฐภาคีและเรือที่มีขนาดต่ำกว่าข้อกำหนดของอนุสัญญา
4.45
สำหรับเรือที่ชักธงของรัฐที่ไม่ใช่รัฐภาคีอนุสัญญา
SOLAS และไม่ได้เป็นภาคีพิธีสารแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญา
SOLAS 1988 นั้น
รัฐภาคีไม่ควรปฏิบัติในเชิงให้ความอนุเคราะห์แก่เรือดังกล่าวมากไปกว่าเรือที่ชักธงของรัฐภาคีอื่น และควรนำข้อกำหนดของกฎข้อบังคับที่ 11-2/9 และแนวทางที่กำหนดไว้ในภาค
ข. ของประมวลข้อบังคับนี้มาใช้บังคับกับเรือเหล่านั้น
4.46
เรือที่มีขนาดต่ำกว่าข้อกำหนดของอนุสัญญาจะต้องปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยของรัฐภาคี
การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวควรคำนึงถึงข้อกำหนดในบทที่ 11-2 และแนวทางที่อยู่ในภาค ข.ของประมวลข้อบังคับนี้
5. ปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัย
บททั่วไป
5.1
ควรมีการจัดทำปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัย
(DoS) เมื่อรัฐภาคีของท่าเรือหรือเมื่อเรือเห็นว่าจำเป็น
5.1.1 ความจำเป็นในการจัดทำปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยนั้นอาจเกิดจากผลของการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือ และควรระบุเหตุผลและสถานการณ์ที่ทำให้จำเป็นต้องออกปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยไว้ในแผนการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือด้วย
5.1.2 ความจำเป็นในการจัดทำปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยอาจเกิดจากความประสงค์ของทางการของเรือที่ชักธงของรัฐนั้นหรือเป็นผลจากการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของเรือและควรระบุไว้ในแผนรักษาความปลอดภัยของเรือด้วย
5.2
5.2 ปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือมีแนวโน้มที่จะกำหนดระดับการรักษาความปลอดภัยในระดับที่สูงขึ้น
เมื่อเรือมีการรักษาความปลอดภัยในระดับที่สูงกว่าท่าเรือ
หรือเรืออีกลำหนึ่งซึ่งมาจอดติดกัน
และสำหรับการปฏิบัติการระหว่างเรือกับท่าเรือหรือการปฏิบัติการระหว่างเรือกับเรือที่ทำให้เรือนั้นมีความเสี่ยงต่อบุคคล
ทรัพย์สิน หรือสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสินค้าหรือผู้โดยสาร
หรือสถานการณ์ที่ท่าเรือหรือปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้รวมกันสูงขึ้น
5.2.1 ในกรณีที่เรือหรือทางการในฐานะตัวแทนของเรือที่ชักธงของชาตินั้นร้องขอให้จัดทำปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัย
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำเรือควรรับทราบคำร้องขอดังกล่าวและหารือกันเพื่อจัดทำหรือกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม
5.3
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าเรืออาจริเริ่มจัดทำปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยก่อนที่จะมีการการปฏิบัติการระหว่างเรือกับท่าเรือ
ตามที่กำหนดไว้ในการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรือที่ได้รับอนุมัติโดยถือเป็นเรื่องสำคัญ ตัวอย่างเช่น การขึ้นเรือหรือลงจากเรือ
และการย้าย บรรทุก หรือขนถ่ายสินค้าอันตรายหรือวัตถุอันตราย
รายงานการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยของท่าเรืออาจระบุสิ่งอำนวยความสะดวกที่อยู่ในหรือใกล้กันกับพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นมากหรือการปฏิบัติการที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจที่จำเป็นจะต้องมีการจัดทำปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัย
5.4
จุดมุ่งหมายหลักของปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยคือเพื่อให้แน่ใจว่ามีการตกลงกันระหว่างเรือและท่าเรือหรือกับเรืออื่นที่จอดติดกันถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยที่แต่ละฝ่ายจะใช้โดยให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของแผนการรักษาความปลอดภัยที่ได้รับอนุมัติแล้วของตน
5.4.1 ปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยที่ได้รับอนุมัติแล้วจะต้องมีการลงนามและวันที่โดยทั้งฝ่ายท่าเรือและเรือโดยให้มีผลใช้บังคับเพื่อแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติตามบทที่
11-2 และภาค ก.ของประมวลข้อบังคับนี้และควรรวมถึงระยะเวลา
ระดับของการรักษาความปลอดภัย ตลอดจนรายละเอียดการประสานงานที่เกี่ยวข้อง
5.4.2
การเปลี่ยนแปลงในระดับของการรักษาความปลอดภัยอาจเป็นเหตุให้มีการจัดทำปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยใหม่หรือปรับปรุงปฏิญญาเดิม
5.5
ปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยควรจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ
ฝรั่งเศส หรือสเปน
หรือในภาษากลางที่สามารถใช้บังคับได้ทั้งกับท่าเรือและเรือหรือเรืออื่น ๆ
5.6
แบบของปฏิญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยปรากฏในภาคผนวก
1 ของภาค ข.ของประมวลข้อบังคับนี้
แบบดังกล่าวเป็นปฏิญญาระหว่างเรือกับท่าเรือ ถ้าเป็นปฏิญญาระหว่างเรือสองลำ ให้ปรับใช้แบบนี้ตามความเหมาะสม
6 พันธกรณีของบริษัทเรือ
บททั่วไป
6.1
กฎข้อบังคับที่ 11-2/5
กำหนดให้บริษัทเรือต้องจัดส่งข้อมูลให้แก่นายเรือเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของบริษัทเรือภายใต้บทบัญญัติของกฎข้อบังคับนี้ ข้อมูลดังกล่าวควรรวมถึงรายการดังต่อไปนี้
.1 ฝ่ายที่รับผิดชอบในการบรรจุแต่งตั้งคนประจำเรือ
เช่น บริษัทจัดการเรือ ตัวแทนบรรจุคนเรือ ผู้รับเหมา ผู้ได้รับสัมปทาน (เช่น ร้านขายปลีก
บ่อนคาสิโน เป็นต้น)
.2 ฝ่ายที่รับผิดชอบในการตัดสินใจจัดหาเรือ
รวมทั้งผู้เช่าเรือแบบมีกำหนดเวลาหรือผู้เช่าเรือเปล่า หรือองค์กรอื่นใดที่ทำหน้าที่ในลักษณะเช่นว่า
และ
.3 ในกรณีที่เป็นการจัดหาเรือโดยการทำสัญญาเช่าเรือ
จะหมายถึงข้อมูลรายละเอียดการติดต่อประสานงานกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งรวมถึงผู้เช่าเรือแบบมีกำหนดเวลาหรือผู้เช่าเรือเป็นรายเที่ยว
6.2
ตามกฎข้อบังคับที่ 12-2/5 บริษัทเรือมีพันธกรณีที่จะปรับปรุงและเก็บรักษาข้อมูลให้ทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
6.3
ข้อมูลดังกล่าวควรจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ
ฝรั่งเศส หรือสเปน
6.4
สำหรับเรือที่ต่อก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม 2547
ข้อมูลนี้ควรสะท้อนถึงสภาพที่เป็นจริง ณ วันนั้น
6.5
สำหรับเรือที่ต่อ ณ หรือหลังวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 และเรือที่ต่อก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ซึ่งเลิกใช้ในวันที่
1
กรกฎาคม 2547
ข้อมูลที่จัดให้ควรเป็นข้อมูลตั้งแต่วันที่เรือนั้นออกใช้งานและควรสะท้อนถึงสภาพที่เป็นจริง
ณ วันนั้น
6.6
สำหรับเรือที่เลิกใช้งานหลังวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ข้อมูลที่จัดให้ควรเป็นข้อมูลตั้งแต่วันที่เรือนั้นออกใช้งานอีกครั้งและควรสะท้อนสภาพที่เป็นจริง
ณ วันนั้น
6.7
ข้อมูลที่จัดให้ก่อนหน้านี้ที่ไม่สัมพันธ์กับสภาพที่เป็นจริง
ณ วันนั้น ไม่จำเป็นต้องเก็บรักษาไว้บนเรือ
6.8
เมื่อมีบริษัทเรือแห่งใหม่เข้ามารับผิดชอบในการปฏิบัติการของเรือนั้น
ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่เคยควบคุมดูแลการปฏิบัติการของเรือนั้นไว้บนเรืออีกต่อไป
นอกจากนี้ โปรดดูแนวทางที่เกี่ยวข้องอื่น
ๆในส่วนที่ 8, 9 และ 13
7 การรักษาความปลอดภัยของเรือ
โปรดดูแนวทางที่เกี่ยวข้องในส่วนที่
8, 9 และ 13
§
ข้อกำหนดภาคบังคับเกี่ยวกับบทบัญญัติ ISPS Code ของบทที่
11-2 ของภาคผนวกแนบท้ายอนุสัญญาว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล
ค.ศ.1974 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติม
§
แนวทางสำหรับบทบัญญัติ ISPS Code ของบทที่ 11-2
ของภาคผนวกแนบท้ายอนุสัญญาระหว่างประเทศ
ว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล 1974 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมและภาค
ก ของประมวลข้อบังคับนี้ (ส่วนที่ 1)
§
แนวทางสำหรับบทบัญญัติ ISPS Code ของบทที่ 11-2
ของภาคผนวกแนบท้ายอนุสัญญาระหว่างประเทศ
ว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล 1974 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมและภาค
ก ของประมวลข้อบังคับนี้ (ส่วนที่ 2)
§
แนวทางสำหรับบทบัญญัติ ISPS Code ของบทที่ 11-2
ของภาคผนวกแนบท้ายอนุสัญญาระหว่างประเทศ
ว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล 1974 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมและภาค
ก ของประมวลข้อบังคับนี้ (ส่วนที่ 3)
§
แนวทางสำหรับบทบัญญัติ ISPS Code ของบทที่ 11-2
ของภาคผนวกแนบท้ายอนุสัญญาระหว่างประเทศ
ว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล 1974 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมและภาค
ก ของประมวลข้อบังคับนี้ (ส่วนที่ 4)
มารีนเนอร์ไทย | MarinerThai.Net | MarinerThai.Com